เมื่อวันที่ 1 -3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) โดยคุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ นำสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวกว่า 60 ชีวิต “ย้อนอดีตสู่เมืองโบราณศรีเทพ เยือนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ลพบุรี และสัมผัสวิถีท่องเที่ยวใหม่สายจิตวิญญาณที่สระบุรี” วัตถุประสงค์ร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว โดยได้รับการสนับสนุนจาก ททท.สำนักงานจังหวัดเพชรบูรณ์ , ททท.สำนักงานจังหวัดลพบุรี และ ททท. สำนักงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา , สมาคมท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี และคณะกรรมการโคก หนองนาศัย
โดยกิจกรรมมีดังนี้ วันแรก : คณะออกเดินทางโดยรถบัสปรับอากาศสองชั้นจำนวน 2 คัน หมุดหมายแรกมุ่งสู่ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ กรมศิลปากรใช้เวลาขุดตกแต่งและบูรณะเมืองโบราณศรีเทพนาน10 ปี แปรสภาพเนินเขากลางชุมชน กลายเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ อายุราว 1,500-1,700 ปี ซึ่งมีการประเมินว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากอินเดียเท่านั้น “เมืองโบราณศรีเทพ” จัดอยู่ในบริเวณเขตที่สูงภาคกลาง อันเป็นจุดเชื่อมโยงเครือข่ายของการแลกเปลี่ยนสินค้าเส้นทางการค้าและวัฒนธรรมพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายต่อเนื่องจนถึงวัฒนธรรมเขมรโบราณ(พุทธศตวรรษที่8-18) ยังมีความสวยงามและร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรแห่งนี้อยู่หลายแห่งด้วยกัน ต่อมาองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียน เมืองโบราณศรีเทพ เป็นมรดกโลกแห่งที่ 7 ของประเทศไทย อายุเกือบ2,000 ปี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566
ส่วนสำคัญต่าง ๆ ของเมืองโบราณศรีเทพ ประกอบด้วยสถานที่ดังต่อไปนี้
1. อาคารหลุมขุดค้นทางโบราณคดี อาคารจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูกช้าง ที่ขุดค้นพบทางโบราณคดีเมื่อปี 2531 สะท้อนการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในระยะแรกเริ่มสมัยก่อนประวัติศาสตร์ภายในเมืองโบราณศรีเทพที่มีมากว่า 2,000 ปี
2. ปรางค์สองพี่น้อง สถาปัตยกรรมในวัฒนธรรมเขมร มีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐสององค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน แม้ส่วนยอดพังทลายไปจนหมดสิ้น แต่องค์เล็กยังหลงเหลือทับหลังศิลาทรายที่มีสภาพสมบูรณ์ประดับอยู่จำหลักเป็นรูปอุมามเหศวร
3. ปรางค์ศรีเทพ สถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมร เป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่อนุมานได้ว่าคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู (พราหมณ์) ลัทธิไศวนิกายในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17
4.เขาคลังใน ศาสนสถานสำคัญประจำเมืองที่มีขนาดใหญ่ในวัฒนธรรมทวารวดี สร้างขึ้นพร้อมกับสมัยแรกสร้างเมืองในราวพุทธศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิหินยานหรือเถรวาท แล้วต่อมาจึงได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายานในราวพุทธศตวรรษที่ 14 และใช้สอยตลอดมา จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไปในราวพุทธศตวรรษที่ 18
5.ศาลเจ้าพ่อศรีเทพ ประดิษฐานของเจ้าพ่อศรีเทพ ซึ่งเป็นที่เคารพเชื่อถือของชาวอำเภอศรีเทพและบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างมาก โดยจะมีการจัดงานประเพณีบวงสรวงขึ้นทุกปี
6.เขาคลังนอก เป็นโบราณสถาณที่ค้นพบมานานแล้ว แต่พึ่งบูรณะแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 ลักษณะของเขาคลังนอกเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ในสมัยทวารวดี สันนิษฐานว่าเดิมมีลักษณะเป็นสถูปขนาดใหญ่ ปัจจุบันเหลือเพียงฐานขนาดใหญ่ ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยศิลาแลงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มีทางขึ้นทั้ง 4 ด้าน
ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เมื่อมาถึงเมืองโบราณศรีเทพแล้วนั่นคือ การได้ลิ้มลองไอติมโบราณศรีเทพ รสชาติต่างๆ จัดทำมาในรูปแบบสุดเก๋ที่พิมพ์ลักษณะลวดลาย อัตลักษณ์โบราณศิลปะแห่งเมืองศรีเทพอีกด้วย
จากนั้นเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ “ร้านอาหารนิวบัวตอง” อาหารอีสานรสเด็ดอร่อยหลากหลายเมนู ร้านนี้เปิดมานานกว่า 30 ปี ซึ่งปัจจุบันมี 2 สาขา ตั้งอยู่ทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน โดยร้าน “นิวไก่ย่างบัวตอง 2” ห่างจากร้านเดิม 3 กม กม. 128 ขาเข้ากรุงเทพ ตั้งอยู่ที่ ต.สามแยก อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์
จุดหมายถัดมา ชมทุ่งทานตะวันบาน ณ “บ้านกล้วย & ไข่ Cafe’” พิกัด หมู่ที่ 6 1 ต.หนองบัว อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรีร้านอาหารและเครื่องดื่ม ศูนย์รวมของฝากและแปรรูปพืชผลการเกษตร อีกจุดเช็คอินท่องเที่ยวที่น่าสนใจระหว่างเส้นทางไปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่นี่มีดอกทานตะวันบานอวดโฉมรอต้อนรับนักท่องเที่ยว และเป็นการส่งสัญญาณว่าฤดูกาลลมหนาวกำลังมาเยือน พร้อมเก็บภาพความประทับใจของทุ่งทานตะวันแปลงใหญ่สีเหลืองสดใสที่กำลังบานสะพรั่งสุดลูกหูลูกตา ที่บ้านกล้วย & ไข่ ที่นี่มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเช็คอินเก๋ๆ มากมาย และมีผลิตภัณฑ์จากกล้วยมาจำหน่ายในราคาย่อมเยาว์อีกด้วย
ทั้งนี้ ททท.สำนักงานลพบุรี เชิญชมทุ่งทานตะวันแปลงใหญ่ ต้นแบบเกษตรกร Smartfarmer บานรับลมหนาวแรกของปีบนเนื้อที่กว่า 75 ไร่หนึ่งใน 5 ซอฟต์พาวเวอร์ ของจังหวัดลพบุรีขานรับนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย พร้อมเก็บภาพความประทับใจของทุ่งทานตะวันแปลงใหญ่สีเหลืองสดใสที่กำลังบานสะพรั่ง ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน จังหวัดลพบุรี ช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม ของทุกปี
คุณสุวรรณา ศรุติลาวัณย์ รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานลพบุรี กล่าวว่า “สำนักงานลพบุรีจะดูทั้งหมด 3 จังหวัดก็คือจังหวัดลพบุรี จังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดชัยนาท ซึ่งทั้งสามจังหวัดนี้เป็นเมืองรองทั้งสิ้น แต่ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเมืองรองก็จริงแต่เราก็มีสิ่งดีๆ ที่จะอวดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะถ้ามาช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงทุ่งทานตะวันบาน จะมีหลายทุ่งมากที่เริ่มบาน แต่อาจจะบานถึงประมาณกลางเดือนธันวาคมนี้ และก็มีอีกดอกไม้หนึ่งที่อยากจะแนะนำตอนนี้ก็คือ “ทุ่งปอเทือง” ซึ่งทุ่งปอเทืองเค้าจะเปิดวันพรุ่งนี้เป็นปีแรกที่เค้าปลูกขึ้นมาแล้วก็คาดว่าจะอยู่ได้ถึงประมาณหนึ่งเดือนค่ะ
นอกจากทุ่งดอกไม้สวยๆ แล้ว เราก็ยังมีไฮไลท์ก็คือ “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” “รถไฟลอยน้ำ” ซึ่งคือไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวถ้ามาจะได้สัมผัสอากาศเย็นๆ และช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ ก็จะเห็นเขื่อนป่าสักและสัมผัสอากาศเย็นๆ บรรยากาศสบายๆ ที่เขื่อนป่าสัก และพอเข้าเมืองเราก็จะเข้าสู่ “ออเจ้า” เป็น “พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์” ซึ่งมีประวัติที่ยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมี “บ้านวิชาเยนทร์” ซึ่งอยู่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์เช่นกัน มี “วัดพระศรีมหาธาตุ” ซึ่งเป็นโบราณสถานเก่าแก่คู่กับจังหวัดลพบุรี และไฮไลท์สำคัญของเราก็คือ “พระปรางค์สามยอด” ซึ่งอยู่กับเมืองลพบุรีมาตั้งแต่ตั้งเมือง
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวที่ลพบุรี เรามีโบราณสถาน มีธรรมชาติที่สวยงาม และยังมี “น้ำตกวังก้านเหลือง” ซึ่งเป็นธรรมชาติ ถ้ามาช่วงหน้าหนาวเราก็ยังมี “เขาพระยาเดินธง” และในช่วงธันวาคมเราจะมีการจัดกิจกรรมดนตรีที่ “เขาโด่” อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นกิจกรรมดนตรีบริเวณริมเขา ก็จะได้บรรยากาศเย็นๆ สบายๆ อยากให้มาสัมผัสเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่อยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวที่จังหวัดลพบุรีสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานจังหวัดลพบุรี สามารถเข้าไปดูในเพจและในเวปไซต์ของเราได้เลยค่ะ”
หลังจากรับประทานอาหารเย็น ณ “สวนอาหารลูกเกด” อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี คณะเดินทางต่อไปยังอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เข้าพักโรงแรม “แวลเลย์การ์เดนท์รีสอร์ท” ที่โอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดของทิวเขาและแมกไม้เขียวขจี ห้องพักตกแต่งในสไตล์ไทยโมเดิร์นที่เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งห้องอาบน้ำกลางแจ้งที่สวยงามและเป็นส่วนตัวเพื่อให้ได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งคณะจะพักที่นี่ตลอดทริปการเดินทาง
วันที่สอง : มุ่งหน้าเดินทางสู่จังหวัดลพบุรี เยือนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ต.ท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี พระราชวังโบราณที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหากษัตริย์องค์ที่ 27 แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงโปรดให้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2209 ณ เมืองละโว้ จังหวัดลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมือง
ภายหลังการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชวังฯแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้างต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2399 เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับและเป็นราชธานีชั้นใน พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ปัจจุบันพื้นที่ที่พระราชวังบางส่วนยังเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์” อีกด้วย
ช่วงเที่ยงแวะช้อป ชิม ชิล ที่ “ตลาดหัวปลี” ตั้งอยู่ในบริเวณของศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์ บนเนื้อที่ 15 ไร่ ตำบลพุแคอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี เป็นตลาดชุมชนของชาวบ้าน ในบรรยากาศสบายๆ พร้อมจุดถ่ายรูปเช็คอินมากมายหลากหลายจุดด้วยกัน มีทั้งบริเวณของต้นไม้ สวนไผ่ ที่สำคัญคือมีสินค้า OTOP ผลิตภัณฑ์จากชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ ผักพื้นบ้าน และผักปลอดสารพิษต่างๆ ให้ได้เดินช้อปกันเพลินๆ อุดหนุนสินค้าชุมชนเป็นการกระจายรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ชุมชนอีกด้วย
สถานที่เช็คอินถัดมา คือ “หอมนสิการ” สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไป ที่นี่จัดเป็น 1 ใน 9 ที่เที่ยวจังหวัดสระบุรี ปี 2566 ที่เปิดใหม่ เกิดขึ้นตามดำริของ อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ประธานมูนิธิโนอิ้ง บุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อการสืบสานธรรม ปกป้องพระเกียรติพระบรมมาศาสดาและปลุกจิตสำนึกที่ดีงามให้แก่ปวงชน
ภายในหอมนสิการเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระบรมโลกนาถ พระบรมสารีริกธาตุ ภาพปักพระบรมโลกนาถศิลปะงานปักมือ 651,000 ฝีเข็ม และนิทรรศการร่วมสมัย จำลองมรรคาและคำสอนของพระบรมศาสดา ในส่วนของนิทรรศการที่นำเสนอทำให้ “เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าภายใน 15 นาที “
หอมนสิการ ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 25 สถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยได้รับคะแนนโหวตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จากแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 77 แห่ง จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศอีกด้วย
วันที่สาม : เช้าวันสุดท้ายคณะเดินทางไปเยี่ยมชม องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินบทบาทในการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมและพัฒนาอุตสาหกรรมนม อ.ส.ค.ผลิตผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ เช่นนมยูเอชที นมพาสเจอร์ไรส์ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต โดยใช้ชื่อในการค้าว่า “ไทย–เดนมาร์ค“
หมุดหมายถัดไปคือ “วัดแก่งคอย” ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำป่าสัก ตั้งอยู่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี2330 โดยชาวบ้านได้ร่วมใจกันก่อสร้างและยกที่ดินให้เป็นธรณีสงฆ์อุทิศถวายในบวรพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์รวมใจและศรัทธาของชาวแก่งคอย วัดแก่งคอย ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ประวัติศาสที่มีความสำคัญของประเทศไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ภายในวัดมีสถานที่น่าสนใจหลายจุด เริ่มต้นที่ “อนุสาวรีย์ผู้ประสบภัยทางอากาศสงครามโลกครั้งที่สอง” ที่ชาวบ้านในชุมชนสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้วายชนม์ในเหตุการณ์ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง และยังมี “พระธาตุเจดีย์ศรีป่าสัก” เป็นเจดีย์องค์ใหญ่สีขาวตัดขอบทองภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบสักการะทุกวัน เบื้องหน้าขององค์พระธาตุเจดีย์เยี้องไปทางด้านซ้ายคือพระวิหารที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์นิมิตมงคลมุนีศรีแก่งคอย เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ลักษณะสมบูรณ์งดงามมาก
และจุดสำคัญอีกหนึ่งจุดคือ “ถ้ำนาคา” ถ้ำแห่งนี้เนรมิตขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ก่อนเข้าสู่ตัวถ้ำจะมีบันไดขึ้นไปด้านบนเพื่อให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้สักการะพระธาตุอินแขวนสีทอง แห่งประเทศพม่าแบบจำลอง ส่วนภายในถ้ำจะพบกับความงามของเหล่าประติมากรรมพญานาค พ่อปู่ศรีสุทโธ ภายในยังมีการตกแต่งไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำใต้น้ำที่ดูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์สามารถไหว้ขอพรพร้อมเที่ยวชมถ่ายรูปได้
ปิดท้ายคณะเดินเล่นยามเย็น สัมผัสบรรยากาศเมืองคาวบอย ถ่ายรูป ช้อปเพลินๆ ที่งานเทศกาลตำนานคาวบอยมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ก่อนเข้าที่พัก
วันที่สาม : สดชื่นยามเช้าที่ “สวนมิ่งมงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา” สวนมิ่งมงคลฯ จัดสร้างโดยบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ให้เป็นสวนสาธารณะต้นแบบ พื้นที่ภายในสวน 22 ไร่ ถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิดเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับชุมชนและผู้เดินทาง สวนมิ่งมงคลตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ เส้นทางขาเข้ามุ่งหน้ากรุงเทพฯ กม. ที่ 125 ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย
ภายในมีจุดที่น่าสนใจคือ “อาคารเฉลิมพระเกียรติ” เป็นจุดศูนย์กลาง มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ประดิษฐานอยู่ โดยจัดเป็นสถานที่ถวายความเคารพและเผยแพร่แนวทางการดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และโครงการอื่นๆ ตามแนวพระราชดำริ นอกจากนี้ยังมี บ้านอนุรักษ์พลังงาน แปลงนาสาธิต ให้อาหารปลา ร้านกาแฟ Coffee Cat ติดกับจุดให้อาหารปลา รวมทั้งร้านค้าชุมชนและของที่ระลึก
จากนั้นเดินทางไปยัง “ศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนา หอชาวนาโคกนาศัย” ตำบลม่วงงาม อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี “โคก หนอง นา โมเดล” เป็นโมเดลต้นแบบที่สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติได้น้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้บริหารจัดการน้ำและพื้นที่ทำการเกษตร โดยมุ่งหวังที่จะสร้างจุดเปลี่ยนให้กับชุมชน ซึ่งแบ่งพื้นที่เป็นสัดเป็นส่วนในการใช้ประโยชน์ ซึ่งหากลงมือทำลักษณะเช่นนี้ในหลายๆ จุดของประเทศ “โคก หนอง นา โมเดล” ก็จะช่วยได้มากกว่าการบริหารจัดการน้ำและพื้นที่ทำการเกษตร เพราะจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
ที่นี่คณะฯได้เรียนรู้ทดลองสัมผัสวิถีชีวิตชาวนา โดยการสีข้าว ตำข้าว ฝัดข้าว และรับประทานอาหารที่มาจากผลผลิตของชุมชน รวมทั้งได้อุดหนุนสินค้าชุมชนและผลผลิตทางการเกษตรของชุมชนที่นี่กันอีกด้วย
และจุดสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ คือ “วัดพระพุทธฉาย” ตั้งอยู่หมู่ 1 บ้านพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมืองจ.สระบุรี เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญอยู่ที่เชิงเขาปถวี (เขาปฐวี) ต.หนองปลาไหล เข้าทางเดียวกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น เมื่อ พ.ศ. 2557 ได้รับการยกสถานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เป็นวัดเก่าแก่มีอายุยาวนานกว่า 400 ปี ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานพุทธะฉาย หรือเงาพระพุทธเจ้า ลักษณะเป็นรอยประทับสีแดงเลือนรางอยู่บริเวณชะง่อนผา สันนิษฐานว่ามีการค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา
คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือ (ช.ส.ท.) เผยว่า “วันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราได้มาอยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวอดีตเมืองโบราณศรีเทพ ที่ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวได้จัดขึ้น เพื่อร่วมแสดงความยินดี แสดงความภาคภูมิใจในโอกาสที่คนไทย เมืองไทยได้มีมรดกโลก ซึ่งล่าสุดก็คือเมืองโบราณศรีเทพที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ในโอกาสนี้เราก็ถือโอกาสพาคณะนักท่องเที่ยวและสื่อมวลชนเดินทางสำรวจเส้นทาง เยือนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและสัมผัสวิถีชีวิตท่องเที่ยวสายจิตวิญญาณ เรามาทั้งหมดสามจังหวัดสามวันด้วยกัน คือจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี
จุดที่เรายืนอยู่วันนี้เป็นจุดสุดท้ายของการท่องเที่ยวในทริปนี้นะคะ ก็คือพระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรี ซึ่งที่ตรงนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ใครผ่านมาที่นี่ก็จะต้องแวะมากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุและรอยพระพุทธบาท ภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าผา ก็คือภาพเงาของพระพุทธเจ้าที่เราได้รับรู้กันมาเนิ่นานานก็ยังคงอยู่ รวมทั้งพระนามภิไธยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงซึ่งเป็นที่เคารพยิ่งของปวงชนชาวไทย
คุณวรางคณา กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในการเดินทางครั้งนี้เรามาด้วยกันกว่า 60 ชีวิต รวมทั้งสื่อมวลชนจากชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวทุกคนก็พร้อมที่จะนำสิ่งที่ได้รับรู้ได้เห็นและได้สัมผัสได้ กลับไปเผยแพร่ให้พี่น้องปวงชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้รับรู้ว่า นี่คือหนึ่งในไทยแลนด์ชิ้นหนึ่งที่เราไม่ควรมองผ่าน และขอขอบคุณ สำนักงาน ททท.เพชรบูรณ์ สำนักงาน ททท.จังหวัดลพบุรี สำนักงาน ททท. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี คณะกรรมการโคกหนองนาศัย เป็นชุมชนโมเดลของโคกหนองนาซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้และสัมผัส ขอบคุณทุกคนและทุกหน่วยงานที่มาร่วมกิจกรรมดีๆ นี้กับพวกเรา เราสัญญาว่าจะนำสิ่งที่เราได้พบเห็นไปเผยแพร่ให้เป็นคุณประโยชน์แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวค่ะ” คุณวรางคณา ประธานชมรสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว กล่าวทิ้งท้าย
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ (ช.ส.ท.) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งมา 38 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยสมาชิกชมรมฯ ใช้สื่อที่รับผิดชอบประชาสัมพันธ์ รวมทั้งให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะการดำเนินงาน ด้านการท่องเที่ยวต่อหน่วยงานรัฐและเอกชนในโอกาสต่างๆ
…………………………………………………………………………………………………………………