🔴 ลุยฝนบุกถ้ำเสือ ณ “วัดถ้ำสือ” อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

ล่วงเข้าสู่ฤดูฝน หลายคนอาจเบื่อหน่ายกับการเดินทาง กลัวเปียกฝนไม่ชอบอากาศเปียกชื้นแฉะเลอะเทอะ แล้วแต่เหตุผลของคนไม่ชอบฤดูฝนจนไม่อยากออกไปไหน แต่หลายคนอาจจะคิดตรงข้ามเพราะบรรยากาศขณะฝนตกก็สร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกต่างๆ ที่หลากหลายขึ้นมาทั้ง เหงา เศร้า รัก โรแมนติก และ สนุกสนาน ฯลฯ แต่เหตุผลของคนชอบเดินทางและท่องเที่ยวทุกฤดูกาลอย่างเรา เหตุผลก็คงเป็นเพราะฤดูฝนเป็นฤดูที่แตกต่าง แน่ะ!..เข้าทางเพลงซะงั้น! การเดินทางในช่วงฤดูฝนอากาศจะเย็นสบายไม่ร้อน สองข้างทางก็เต็มไปด้วยความเขียวขะอุ่มชุ่มชื้นสัมผัสได้ถึงความสดชื่นของธรรมชาติจากสองข้างทาง ต้นไม้ใบหญ้าดอกไม้ต่างชู่ช่อออกดอกใบอย่างงดงามเมื่อได้รับน้ำฝนที่โปรยปรายลงมา แถมเมื่อเวลาฝนตกใหม่ๆ กลิ่นไอของดินก็จะหอมฟุ้งขึ้นมา รวมถึงในน้ำมีปลาในนามีข้าวในช่วงฤดูฝนแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์เป็นช่วงแห่งวสันตฤดูที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจให้ออกเดินทางไปพบเจอสิ่งดีๆ เหล่านี้ยิ่งนัก ไม่หวั่นแม้วันฝนพร่ำ 
 
และในช่วงฤดูฝนนี้ จังหวัดกาญจนบุรีนับเป็นจังหวัดหนึ่งที่น่าสนใจในการท่องเที่ยวที่หมายตาไว้ เนื่องจากเคยเดินทางไป “วัดถ้ำเสือ” ที่ตั้งอยู่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มาแล้วครั้งหนึ่ง และจำได้ว่าวิวที่มองลงมาจากชั้นบนของเจดีย์วัดถ้ำเสือนั้นฉากหลังเป็นทุ่งนาผืนใหญ่ ถ้าหากเดินทางไปในช่วงฤดูฝนนี้ข้าวในนาคงเขียวขจี และเป็นฉากหลังที่งดงามของพระองค์ใหญ่ปางประทานพรทำด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์อร่ามตาและ “เจดีย์ทรงจีนของวัดถ้ำเข้าน้อย” ศิลปะแบบจีนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ คงจะงดงามไม่น้อยทีเดียวถ้าไปเที่ยว “วัดถ้ำเสือ” ในช่วงฤดูฝนนี้ 
ซึ่ง “วัดถ้ำเสือ” ที่ตั้งอยู่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงเก่าแก่โบราณเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมายทั้งใกล้และไกลรวมถึงยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีอีกด้วย “วัดถ้ำเสือ” ห่างจากตัวเมืองกาญจน์เพียง 12 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากเขื่อนแม่กลองประมาณ 5 กิโลเมตร ทางเข้าวัดต้องผ่านตัวเขื่อนแม่กลองแล้วจะมีป้ายบอกเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวซ้ายประมาณ 200 เมตร ที่นี่มีพระเจดีย์ที่มีความสวยงามโดดเด่น สามารถมองเห็นได้จากในระยะไกลเพราะตั้งอยู่บนเนินเขา พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่มองเห็นนันคือ “หลวงพ่อชินประทานพร” ขนาด สูง 9 วา 9 นิ้ว หน้าตัก 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิในท่าปางประทานพร ที่มีความสูงโดดเด่นคู่กับ “พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท” สวยงามที่มีความสูงไม่แพ้กันสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล 
 
ซึ่งที่นี่แต่เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ อยู่ในถ้ำบนเขาซึ่งมีอายุมากกว่า 100 ปี ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปศิลาแลงซึ่งชำรุดหักมากมาย มีผู้บอกต่อๆ กันมาว่าพระพุทธรูปเหล่านั้นชำรุดเกิดจากการถูกทหารพม่าทำลายเมื่อครั้งที่ได้ยกทัพผ่านมาโดยใช้เส้นทางเจดีย์ด่าน 3 องค์ เป็นเส้นทางเดินทัพ ในปี พ.ศ. 2516 ได้มีการวางแผ่นฤกษ์สร้างหลวงพ่อชินน์ประทานพร หรือพระพุทธชินราชประทับปางประทานพรขนาดใหญ่สีทองอร่ามโดดเด่นงดงามอยู่บนยอดเขามีลักษณะสวยงามมาก ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงามเป็นที่เลื่องลือไปไกล แม้แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ยังดั้นด้นเดินทางมาเพื่อมาชมความงามของวัดถ้ำเสือ…
 
เมื่อเข้าไปถึงบริเวณ “วัดถ้ำเสือ” ด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ และร้านขายอาหารและของฝากต่างๆ ศาลาด้านล่างติดกับบริเวณที่จอดรถ เป็นศาลาการเปรียญประดิษฐานสังขารหลวงปู่ชื่นที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว มีศาลาประดิษฐานรูปหล่อเจ้าอาวาสหลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อชื่น ซึ่งหลวงพ่อสิงห์เป็นพระธุดงค์ที่มาพบถ้ำเสือ ส่วนหลวงพ่อชื่นเป็นผู้บูรณะปฏิสังขรวัด และยังมีส่วนที่เป็นถ้ำที่แบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีห้องโถงใหญ่ประดิษฐานพระประธาน 2 ห้องสำหรับหลวงพ่อชื่นมาบำเพ็ญภาวนา และห้องประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม…
 
การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพรและพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น ชันประมาณ 60 องศา หรือสามารถซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับ (ไม่ต้องเดิน) เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัด ด้านซ้ายติดกับบริเวณรถรางจะเป็นพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เดินตรงไปด้านหน้าจะเห็น “พระชินประทานพร” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งโดดเด่นเป็นสง่า ความใหญ่โตกว้างขวางของวัด และพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี
ตัวองค์พระสวยงามประดับด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์ ด้านซ้ายขององค์พระ เป็นวิหาร ส่วนด้านขวาเป็นพระอุโบสถอัฏมุข นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่วัดมักจะสักการะพระชินประทานพรก่อน แล้วค่อยขึ้นไปยังพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และชมวิวทิวทัศน์ แบบ 360 องศา เมื่อเดินทางมาถึงด้านบนก็พบกับความสดชื่นของลมที่พัดเย็นสบาย มองไปด้านล่างเห็นทุ่งนาเขียวขจีในช่วงฤดูฝน ซึ่งด้านหน้าวัดจะเห็นลำน้ำแม่กลอง ส่วนด้านข้างติดกับองค์พระเจดีย์ เป็นเก๋งจีนของวัดถ้ำเขาน้อยซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน…
 
“พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท” องค์พระเจดีย์เป็นสีอิฐทั้งองค์ แบ่งเป็นชั้นต่างๆ หลายชั้น พระเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท วัดถ้ำเสือมี 9 ชั้น ความสูง 59 เมตร ภายในโปร่ง มีบันไดเวียนสำหรับขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ที่ประดิษฐานอยู่ที่ชั้นบนสุดของพระเจดีย์ ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจุจบัน เสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ไว้ในปราสาทจุฬามณีบรมสารีริกธาตุ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533
                   
ภายในเจดีย์เกษแก้วมหาปราสาท ถ้ามาต้องมาก่อนที่จะถึงเวลา 16.30 น. เพราะเจดีย์จะปิด แล้วจะขึ้นได้แค่ชั้น 2 เท่านั้น ถ้าจะมาชมด้านบนด้วยควรมาก่อนเวลาปิด ภายในชั้นแรกของเจดีย์มีช่องประตูทะลุถึงกันเป็นลักษณะบัวตูมสวยงาม แต่ละชั้นจะประดิษฐาน พระพุทธรูปต่างๆ มากมาย จนถึงชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศ อินเดีย และยังมีวิหารต่างๆ ให้เข้าไปสักการะพระพุทธรูปและชื่นชมความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังภายในได้…
 
ด้านหลังของเจดีย์วัดถ้ำเสือจะมองเห็น “เจดีย์ทรงจีนของวัดถ้ำเข้าน้อย” ที่อยู่ติดกันแค่มีรั้วกั้น สามารถเข้าไปภายในวัดได้จากชั้นล่างเท่านั้น เพราะทั้งสองวัดไม่มีทางเชื่อมต่อกัน
“เจดีย์ทรงจีนของวัดถ้ำเข้าน้อย” มีความสูงมากแต่ไม่สูงเท่าวัดถ้ำเสือและไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ อย่าได้หลงเดินไปหาให้เสียเวลาเลยเชียวมิฉะนั้นอาจจะพลาดชมสิ่งสวยงามต่างๆ ที่รออยู่ได้เมื่อชมจนทั่วแล้วก็ลงไปข้างล่างเพื่อเข้าถ้ำเสือ เป็นถ้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณเชิงเขาด้านล่าง ภายในประดิษฐานพระประจำวันเกิดและจำหน่ายวัตถุมงคลสำหรับผู้ที่สนใจ…
📍www.indyreport.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *