เกิดเป็นเด็กสวนนนท์มันต้องกินทุเรียนนนท์สิ ไม่งั้นเสียชื่อตาย
ช่วงปลายร้อนจะเป็นช่วงที่ทุเรียนพันธุ์เบาอย่างกระดุม ได้เวลาสุกงอมพร้อมหล่นใส่กบาลใครก็ตามที่เดินผ่านใต้ต้นในช่วงลมแรง ทุเรียนอย่างก้านยาวหรือชะนี เด็กๆเราไม่มีสิทธิ์กินเพราะชาวสวนเค้าเอาไว้ขาย
แต่สำหรับกระดุมลูกใหญ่กว่ากำปั้นผู้ใหญ่หน่อยน่ะ เป็นสิทธิ์ของเราเต็มๆ เรามักไปป้วนเปี้ยนตามใต้ต้น หรือไปดูตามท้องร่องที่มีจอกแหนลอยเต็มเป็นแพ เพื่อดูว่ามีทุเรียนกระดุมลูกเล็กๆสุกๆที่ว่าเนี่ย หล่นลงมาบ้างมั้ย ถ้าลงคลองก็หาไม้เขี่ยขึ้นมาอย่างไม่กลัวว่าจะร่วงหล่นลงไปในคลอง
กระดุมน่ะมันขายไม่ได้ราคาหรอก ลูกละแค่สิบบาทเมื่อตอนนั้น แถมมีดกดื่นเต็มต้น เราเก็บมากินสุกหรือถ้ากินไม่ทันมันงอมก็เอาไปทำน้ำกระทิทุเรียนกินกับข้าวตอกหรือข้าวเหนียวมูนตาแฟ้ม
ต้องตาแฟ้มเมืองนนท์นะ เจ้าอื่นมูนข้าวเหนียวไม่อร่อยเท่าแก ข้าวเหนียวมูนแกโด่งดังมาถึงในกรุงเทพฯคนซื้อทีละเยอะๆไปกินกับมะม่วง ต้องมะม่วงอกร่องด้วยถึงจะอร่อยปานขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่กินกับมะม่วงน้ำดอกไม้เหมือนสมัยนี้
กลับมาที่ทุเรียนกระดุม ลูกมันไม่ใหญ่มาก เนื้อน้อยเม็ดใหญ่โต แต่รสชาติหวานจัดหอมมันกลิ่นแรงแบบใครชอบกลิ่นทุเรียนต้องวิ่งเข้าใส่ แต่ถ้าใครเกลียดก็วิ่งอุดจมูกหนีกันยกใหญ่
การกินทุเรียนแบบเรามีสามสเตป ขั้นแรกเอามีดพับของย่ากรีดตูดมันเป็นรอยบากจะแงะมันได้ง่ายๆ ขั้นสองกิน…กิน…กิน ขั้นสุดท้ายคือจุกหายใจไม่ออก ร้องไห้หาแม่ให้เอายาหม่องมาทาท้อง ก็จบการกินทุเรียนสไตล์เด็กสวนจอมตระกละจ้ะ
ปล. ขออวดหน่อย เมื่อก่อนในสวนมีนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ด้วยนะ ไม่ต้องไปดูไกลๆถึงต่างจังหวัด ขอบอกๆ