สมาคมสินแร่ฯขานรับรัฐบาลเริ่มตาสว่าง ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ชี้โควิดและสงครามเปลี่ยนโลกเปลี่ยนวิธีคิดต้องพัฒนาทรัพยากรในประเทศแทนการนำเข้า เสนอทบทวนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทแร่ให้เข้าสถานการณ์
ตามที่มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2565 กำหนดนโยบายส่งเสริมและแนวทางการแก้ไขปัญหาการพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศไทย โดยเห็นสมควรปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำหนดสิทธิประโยชน์ให้มีความเหมาะสม โดยแบ่งประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มกิจการสำรวจแร่ กลุ่มกิจการทำเหมืองแร่/แต่งแร่ และกลุ่มกิจการถลุงแร่หรือประกอบโลหกรรม นั้น
ดร.วิจักษ์ พงษ์เภตรา นายกสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลกลับมาเล็งเห็นถึงบทบาทและความสำคัญของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่สมควรต้องให้การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่เป็นฐานของการพัฒนาประเทศ และจะเป็นกำลังสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กับเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจที่มีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้น
“เราเคยมีแนวคิดในการนำเข้าสินแร่จากต่างประเทศแทนการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศ แต่โรคระบาดใหม่และสงครามทำให้สินแร่หลายอย่างขาดแคลน ราคาแพงขึ้น ค่าขนส่งสูง มีความไม่แน่นอนในการผลิตและขนส่ง จึงจำเป็นต้องทบทวนนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติรวมถึงแผนแม่บทแร่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต” ดร.วิจักษ์กล่าว
ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มความต้องการใช้แร่สูงขึ้น ทั้งแร่โลหะพื้นฐาน โลหะมีค่า แร่หายากและแร่อุตสาหกรรมอื่นๆ อันเป็นผลจากนโยบายสางเสริมพลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในปี 2563 มูลค่าเพิ่มของการทำเหมืองแร่คิดเป็นสัดส่วน 2.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับแร่ในด้านต่างๆ อาทิ ต้องพึ่งพาการนำเข้าแร่จากต่างประเทศ ขาดการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตจากแร่ ขาดมาตรการและแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมแหล่งวัตถุดิบในกระบวนการผลิต และขาดการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากการทำเหมือง
อนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) และกระทรวงอุตสาหกรรม ประสานความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป
…………………………………………………………………………………………………………………
📍 www.indyreport.com