ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติ ช.ส.ท พาแม่เที่ยว จัดพาเที่ยว “ชีวาธรรมตามรอยพญานาค“ สู่จังหวัดอุดรธานี บึงกาฬ และ สกลนคร ได้รับการสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และวิริยะประกันภัย มีผู้ร่วมเดินทางกว่า 80 ชีวิต บรรยากาศสนุกสนานคึกคัก
ระหว่างวันที่ 13 - 16 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) นำคณะสื่อมวลชนและผู้ร่วมทริปอาวุโสกว่า 80 ชีวิต โดยการนำของ คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) เดินทางตามโครงการ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งชาว ข.ส.ท. ได้ร่วมกันจัดเฉลิมพระเกียรติถวายทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย และปีนี้ได้จัดพาเที่ยว “ชีวาธรรมตามรอยพญานาค“ สู่จังหวัดอุดรธานี บึงกาฬ และ สกลนคร ด้วยการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมี คุณสมชาย ชมภูน้อย ผอ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เกียรติมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง
คณะเดินทางกว่า 80 ชีวิต เริ่มออกเดินทางจากสโมสรทหารบก วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เวลา 05.30 น. โดยรถบัสปรับอากาศสองชั้น จำนวน 3 คัน โดยมี คุณหมอและพยาบาล คอยดูแลตรวจวัดอุณหภูมิ และเจลล้างมือก่อนขึ้นรถเพื่อความปลอดภัยจากโควิด 19 อย่างใกล้ชิด
โดยจุดหมายแรกคือจังหวัดอุดรธานี ระหว่างทางแวะรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ ร้านปราสาททอง ประตูน้ำพระอินทร์ และมื้อกลางวัน ที่ร้านกันตา อำเภอพล ซึ่งเป็นเมนูอาหารอีสานรสแซ่บ ส้มตำ ไก่ย่างเขาสวนกวาง ไส้กรอก ลาบฯ ที่แสนอร่อย เติมพลังระหว่างการเดินทาง
ถึงจังหวัดอุดรธานีในช่วงเย็นแวะไหว้ ศาลเจ้าปู่–ย่า ศาลเจ้าเก่าแก่และมีความศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยเชื้อสายจีนชาวอุดรฯ ให้ความเคารพนับถือกันอย่างยิ่ง ภายในบริเวณศาลเจ้าปู่–ย่า ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมไทย–จีนอุดรธานี ศูนย์รวมและอนุรักษ์ศิลปะและวัฒนธรรม วิถีบรรพชนและหลักปรัชญาของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดอุดรธานี ก่อนเข้าที่พักโรงแรมศิวิไลซ์ โฮเทล พักผ่อนจากการเดินทาง
เช้าวันที่ 14 สิงหาคม วันที่สองของการเดินทาง และที่นี่เป็นจุดหมายของใครหลายคนที่ตั้งใจมาเยือนแหล่งธรรมะอารยธรรมห้าพันปี ด้วยแรงศรัทธาศรีสุทโธ ปทุมมาคำชะโนด ณ วัดศิริสุทโธ คำชะโนด อำเภอบ้านดุ่ง จังหวัดอุดรธานี ที่เลื่องชื่อ คำชะโนดหรือเมืองชะโนดตำนานวังนาคินทร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ วังทอง บ้านม่วงและบ้านจันทร์ ของอำเภอบ้านดุ่ง เป็นป่าที่มีลักษณะเหมือนเกาะกลางน้ำอยู่กลางทุ่งนา เต็มไปด้วยต้นชะโนด ซึ่งเป็นพืชจำพวกปาล์ม ความยาวประมาณ 200 เมตร สมาชิกและประชาชนต่างหลั่งไหลเข้ามากราบสักการะพ่อปู่ศรีสุทโธนาคราช และแม่ย่าศรีปทุมมา ที่คำชะโนดกันอย่างไม่ขาดสาย แม้ในช่วงนี้ก็ยังได้เห็นพลังศรัทธาของมวลชนที่ยังคงศรัทธาไม่เสื่อมคลาย
หลังรับประทานอาหารกลางวัน ที่ ครัววาสนา ปาร์ค จ.อุดรธานี คณะได้เดินทางไปเยี่ยมชม “ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม” อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร อันเป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเมตตาพระราชดำริให้ราษฎร์ปลูกต้นไม้รักษาป่า และจัดครูมาช่วยฝึกสอนอาชีพต่างๆ ตามที่ราษฎร์ถนัด และทรงมีพระราชดำริที่จะให้ บ้านกุดขามเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง จึงทรงมีเมตตาให้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพขึ้น คือ “ศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม”
ที่นี่สร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเป็นแหล่งผลิตศิลปหัตถกรรมต่างๆ ด้วยฝีมือการทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเซรามิค การแกะสลักไม้ มีห้องแสดงการปั้นเขียนสีแสดงผลิตภัณฑ์ ฝีมือในการผลิต การออกแบบที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผลิตภัณฑ์จากศูนย์ฯ เป็นสินค้าที่ทรงคุณค่าช่วยพัฒนาชีวิตให้ราษฎร์ที่ยากไร้ได้อยู่ดีกินดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ คณะยังได้แวะไปอุดหนุนส้มโอสินค้าเกษตร บริเวณใกล้เคียง เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกด้วย จากนั้นคณะเดินทางต่อไปยังจังหวัดจังหวัดบึงกาฬ เพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็นที่ ครัวแม่ละมูล ก่อนเข้าที่พัก โรงแรมเดอะวัน ท่ามกลางฝนที่ตกโปรยปรายตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น 15 สิงหาคม คณะเดินทางไปชม หินสามวาฬ ซึ่งเป็นอีกไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดบึงกาฬ “หินสามวาฬ” ตั้งอยู่ใน “ภูสิงห์” หรือเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ต.โคกก่อง อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ ซึ่งอยู่ในการดูแลของกรมป่าไม้ พื้นที่ป่ากว่า 1.2 หมื่นไร่ การเดินทางในครั้งนี้ค่อนข้างผจญภัยด้วยฝนที่ตกตลอดเส้นทาง และต้องนั่งรถกะบะของอุทยานผ่านเส้นทางที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาตลอดเวลา
เส้นทางที่ผ่านเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง และป่าละเมาเขา เต็มไปด้วยหินผาหินทรายที่มีอายุกว่า 75 ล้านปี มีก้อนหินที่ใหญ่สูงเป็นภูเขาหลายสิบเมตร บางลูกที่มีลักษณะลวดลายเหมือนส่วนหนึ่งของพญางูใหญ่ที่ขดตัวมีเกล็ดคล้ายงู เรียงรายอยู่เป็นระยะจนขึ้นไปถึงหินสามวาฬ ซึ่งมีลักษณะเหมือนวาฬตัวใหญ่มหึมา พ่อ แม่ ลูก นอนเรียงกันอยู่ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “หินสามวาฬ” คณะขึ้นไปชมทัศนีย์ภาพความสวยงามท่ามกลางสายฝน ทำให้ได้เห็นภาพวาฬยักษ์ 3 ตัว พ่อ แม่ ลูก อยู่ในทะเลที่เกิดเป็นละอองหมอกทั่วบริเวณ ทำให้จินตนาการดูคล้ายกับว่ากำลังยืนอยู่บนตัววาฬที่กำลังลอยล่องอยู่ในทะเลหมอก ชมทิวทัศน์ที่งดงามของหินสามวาฬบนภูสิงห์ พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศสดชื่นในการเที่ยวป่าหน้าฝนอย่างชุ่มฉ่ำสนุกสนานเลยทีเดียว
จุดหมายต่อไปคณะเดินทางไปยัง “ชุมชนบ้านสะง้อ” อำเภอบึงกาฬ ชุมชนเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม ซึ่งบ้านสะง้อนับเป็นแผ่นดินเหนือสุดแดนอีสาน ถึงแม้คำว่า “สะง้อ” นั้นจะแปลว่า “บ้านที่ไปยาก” แต่ถ้าใครได้มาสัมผัสชุมชนที่นี่แล้วอาจจะต้องอยากกลับมาอีกแน่นอน เพราะที่นี่นอกจากจะมีทัศนียภาพที่สวยงามติดกับแม่น้ำโขงที่สามารถชมวิวน้ำโขง และภูเขาบริเวณเมืองปากซัน สปป.ลาว แล้ว ชาวบ้านสะง้อยังมีของดีที่มาจากภูมิปัญญา คือ “ผ้าหมักโคลนดารานาคี” ที่ขึ้นชื่อไม่เหมือนใครแล้ว ยังจะได้เห็นการต่อยอดนำผ้าขาวม้ามาออกแบบลวดลายใหม่ๆ เช่น ลายดารา ลายสองฝั่งโขง ลายสองตายาย ลายนิมิต ลายธรรมจักรกวางและการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่นที่ดูทันสมัยเหมาะกับทุกวัย นอกจากนี้คณะยังได้อิ่มอร่อยกับอาหารกลางวันซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นจากฝีมือชาวบ้านสะง้ออีกด้วย
จากบ้านสะง้อไปต่อที่ “วัดอาฮงศิลาวาด” อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง บริเวณแก่งอาฮงแอ่งน้ำขนาดใหญ่จากฝั่งไทยถึงฝั่งลาว โดยที่นี่เป็นจุดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งที่คณะได้ไปชมคือ “สะดือแม่น้ำโขง“ จุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงซึ่งมีความลึก 200 เมตร วัดนี้มีพระอุโบสถสร้างด้วยหินอ่อน พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถสร้างคล้ายพระพุทธชินราช และยังมีพระพุทธรูปทองคำอีกสององค์ประดิษฐานอยู่ด้วย บริเวณรอบๆ จัดแต่งสวนไว้อย่างสวยงาม ที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วชาวบ้านโดยรอบยังอาศัยทำการประมงด้วย
หลังจากคณะเดินทางเข้าที่พัก โรงแรมเดอะมาเจสติก จังหวัดสกลนคร ในช่วงค่ำ ช.ส.ท. ได้จัดงาน “ราตรีสีฟ้า เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนตีพันปีหลวง“ โดย คุณวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ ได้ขึ้นกล่าวนำในการจุดเทียนถวายพระพร และร่วมร้องเพลงเกี่ยวกับแม่พร้อมสมาชิกและผู้ร่วมงานยังความประทับใจและซาบซึ้ง ในบรรยากาศความรักและความอบอุ่นจากแม่ และเป็นการแสดงออกถึงความเทิดทูนรักษาสถาบันที่ ช.ส.ท. ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องยาวนานตลอดหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับกิจกรรมในวันท้ายสุด คณะเดินทางไปกราบสักการะ “พระธาตุเชิงชุม” เพื่อเป็นศิริมงคล ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ตั้งอยู่ริมหนองหาน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ ภายในวิหารบริเวณพระธาตุเชิงชุม เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์แสนอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดสกลนคร
ต่อจากนั้นไปเยี่ยมชมชุมชนคาทอลิคที่ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ซึ่งนับเป็นคริสต์อาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอท่าแร่ จ.สกลนคร ที่นี่เป็นชุมชนคาทอลิค นับถือสาสนาคริสต์มากที่สุดในประเทศไทย เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี โดยประชากรชาวท่าแร่เป็นคริสตนชนที่อพยพมาจากประเทศเวียตนามเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2427 ในทุกวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี ชุมชนแห่งนี้จะจัดเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส โดยจัด “ขบวนแห่ดาวคริสต์มาส” อย่างสวยงาม ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมความงามกันอย่างคึกคักเฉลิมฉลองส่งท้ายปี
จุดสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ คณะแวะเยี่ยมชม “กลุ่มทอผ้าไหมโบราณบ้านโนนกอก” อยู่อำเภอเมือง อุดรธานี ที่นี่มีการทอผ้าด้วยการใข้สีจากดอกบัวแดงแห่งเดียวในประเทศไทย เป็นการค้นพบอย่างบังเอิญของ นายอภิชาติ พลบัวไข ลูกหลานบ้านโนนกอก ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านโนนกอก
ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอาชีพชาวบ้านคือการทอผ้าดั้งเดิมของชาวบ้านโนนกอก และทดลองทอผ้าด้วยตัวเองจนชำนาญและเริ่มมองหาวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาทำเป็นสีย้อมผ้า ทำให้ได้ผ้าสวยด้วยสีสันจากดอกบัว ก้านบัว สายบัว ที่มีความสวยงามมาก และที่นี่จัดเลี้ยงอาหารพื้นถิ่นหลากหลาย รวมทั้งน้ำดื่มจากดอกบัวแดง
ท่านผอ.สมชาย ขมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ให้การต้อนรับและกรุณาบรรยายเรื่องราวเส้นทางท่องเทึ่ยวอีสานที่น่าสนใจ ในจุดท่องเที่ยวใหม่ๆ ในภาคอีสานที่สามารถท่องเที่ยวได้ในทุกช่วงฤดูกาลอีกด้วย. /
📍www.indyreport.com