เมื่อวันที่ 20 – 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองภายใต้ My Local IDOL เที่ยวอย่างมีสไตล์ เพิ่มรายได้ให้ชุมชน “มนต์เสน่ห์เหมันต์แห่งน่านนคร” โดยการนำของ นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) พร้อมคณะฯ และสื่อมวลชน ร่วมเดินทางกว่า 80 ชีวิต นางสาวสุกฤตา อนุกูลสาธุกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานน่าน ให้การต้อนรับ บรรยากาศในการท่องเที่ยวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และเกิดการกระจายรายได้ให้ชุมชนจังหวัดน่านหลายพื้นที่อย่างคึกคัก
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นมาเป็นเวลา 34 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยสมาชิกชมรมฯ ใช้สื่อที่รับผิดชอบดำเนินการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะการดำเนินงาน ด้านการท่องเที่ยวต่อหน่วยงานของรัฐและเอกชนในโอกาสต่างๆ ในปี 2563 ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) ได้จัดโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คือ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรอง ภายใต้ “My Local IDOL เที่ยวอย่างมีสไตล์ เพิ่มรายได้ให้ชุมชน”
ซึ่ง เป็นโครงการส่งเสริมให้กลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มสำคัญ คือ ผู้สูงอายุ ได้ไปสัมผัสไอดอลในชุมชนซึ่งจะได้รับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้และเข้าสัมผัสวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างแท้จริง พร้อมทั้งเพิ่มคุณค่าของการไปท่องเที่ยว โดยให้ทุกคนได้กลายเป็นไอดอลที่จะช่วยการสนับสนุนและเพิ่มรายได้ให้ชุมชน และประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวต่อไป จึงกำหนดเดินทางไปจังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ 20 – 23 กุมภาพันธ์ 2563 โดยได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน ชื่อกิจกรรมครั้งนี้ คือ “มนต์เสน่ห์เหมันต์แห่งน่านนคร”
นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) กล่าวว่า “การเดินทางของมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว ในโครงการ My Local IDOL เที่ยวอย่างมีสไตล์ เพิ่มรายได้ให้ชุมชน“มนต์เสน่ห์เหมันต์แห่งน่านนคร” จบสิ้นลง 3 คืน 4 วัน จบลงด้วยความสุขความอิ่มเอมใน ในการที่เราสามารถนำคนไทยกลุ่มเล็ก นำคณะสื่อมวลชนมาเยือนเมืองน่าน ได้มากระจายรายได้สุ่ชุมชน สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน คงจะทราบว่าผู้ประกอบการของเราช่วงนี้อยู่ในภาวะค่อนข้างลำบาก เพราะว่านักทอ่งเที่ยวขาดหายไปจากประเทศไทยมากมายทีเดียว ด้วยเหตุที่เกิดโรคที่ไม่พึงประสงค์ของนักท่องเที่ยว เราถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราได้นำคณะท่องเที่ยว 80 กว่าชีวิต เดินทางมาในโครงการ ที่เราเชื่อแน่ว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการท่องเที่ยว เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อการที่จะทำให้คนไทยรู้จักเมืองไทยและเราได้นำสื่อมวลชนทั้งหมด 20 กว่าชีวิตมาช่วยกันประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว เผยแพร่อนุรักษ์วัฒนธรรม วิถีชีวิต วิถีชุมชน สู่คนไทยและทั่วโลกให้ได้รับรู้ว่าเมืองไทยมีอะไรดีๆ และควรค่าแก่การสัมผัสแก่การเรียนรู้
ก็อยากจะเชิญชวนให้ทุกคนมาเที่ยวเมืองน่านกัน เพราะน่านเที่ยวได้ทุกฤดูกาล ช่วงหนาวสัมผัสละอองหมอก ช่วงฝนก็สวยงาม เราจะเห็นป่าที่เขียวชอุ่ม เป็นละอองฝนที่โปรยปราย หน้าร้อนก็ยังมีธรรมชาติ มีวิถีชุมชน ชาวบ้าน ชาวป่า ชาวเขาให้ได้รู้จัก และคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว เที่ยวเมืองไทย ไทยแลนด์โอเค น่านโอเค และ ช.ส.ท.โอเคค่ะ” นางวรางคณา กล่าว
ด้านนางสาวสุกฤตา อนุกูลสาธุกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานน่าน เผยว่า “จังหวัดน่านก็ยังคงมีความเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณี และอัธยาศัยไมตรีของผู้คนจังหวัดน่าน เป็นจังหวัดแรกๆ ในหุบเขาคนต้องตั้งใจมาถึงจะมาถึง นอกจากศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลาย จังหวัดน่านยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย เห็นได้จากอุทยานแห่งชาติมีทั้งหมด 7 อุทยาน 1 วนอุทยาน ที่มีการกระจายตัวไปยังน่านเหนือ น่านกลาง น่านใต้
น่านเป็นเมืองเก่าที่มีชีวิต ความเป็นชีวิตของจังหวัดน่านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของภูมิสถาปัตย์และเป็นเมืองเก่าที่มีคุ้มเจ้าหลวง และวัดที่สวยงาม ผู้คนวัฒนธรรมที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ จะเห็นได้จากโรงเรียนในจังหวัดน่านน้องๆ นักเรียนทุกวันศุกร์จะนุ่งซิ่นและใส่เสื้อผ้าไทยและยังคงรักษาเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตรงนี้ไว้นอกจากนี้ชุมชนต่างๆ ยังมีกิจกรรมให้ได้เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผ้าทอจังหวัดน่าน หรือจะเป็นกิจกรรมอื่นๆ ประเพณีอื่นๆ
น่านมีดอกชมพูภูคาที่มีแห่งเดียวในโลกที่จังหวัดน่าน ถ้าจะขึ้นไปชมต้องขึ้นไปที่ดอยภูคา และในปีนี้เนื่องจากว่าอากาศมีความหนาเย็นก็จะบานไว คณะที่มาในวันนี้ก็โชคดีมากที่ได้ชมดอกชมพูภูคา รวมทั้งในเดือนกุมภาพันธ์อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่ ซึ่งเมื่อเช้าวัดอุณหภูมิได้ที่ 9 องศา และส่วนของดอกเสี้ยวขาว ก็จะเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดน่านอีกด้วยที่บานพร้อมกัน
จังหวัดน่านสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ความสวยงามของจังหวัดน่านไม่ได้มีเฉพาะหน้าหนาว ในช่วงหน้าฝนจะเห็นว่าหน้าฝนของจังหวัดน่านมีเสน่ห์มากๆ โดยเฉพาะความเขียวของ พืชพรรณ ป่าไม้ ความสวยงามของทุ่งนา ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใต้หรือเหนือ อาชีพทำนาก็ยังมีอยู่พื้นที่เต็มไปด้วยความเขียวของทุ่งนาทำให้สดชื่นเพราะฝนตกลงมายามเช้ามีหมอกให้เราได้ซึมซับพลังธรรมชาติ กับพลังตรงนี้ไปเติมเต็มให้กับชีวิตที่ต้องการความสดชื่นและต้องการมาพักผ่อน เพราะฉะนั้นหน้าฝนจังหวัดน่านก็ตอบโจทย์ หน้าฝนของเราก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่รองรับนักท่องเที่ยว เช่น ลำน้ำว้า การล่องแก่งที่เป็นแหล่งธรรมชาติ รวมทั้งน้ำตก น้ำตกตาดหลวง สปาที่บ่อเกลือ และอีกหลายพื้นที่ ถ้าบอกก็คงจะบอกไม่หมดเพราเน่านะมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะจริงๆ
น่านเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากจะมาสัมผัส มาคนมาแล้วก็อยากจะมาอีกบางท่านที่ยังไม่เคยมาก็อยากจะมา แต่ความอยากนี้จะเป็นเพียงแค่เพียงแค่ความต้องการ ก็อยากให้ทุกท่านออกมาบอกรักเมืองน่าน เนื่องจากว่าเรามีสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้คนไม่กล้าออกมาท่องเที่ยว แต่ขอให้มั่นใจว่าประเทศไทยยังโอเคอยู่ ตามแผนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย Thailand OK ตอนนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดน้อยลง การที่จะช่วยได้ก็คือการที่พวกเรามาช่วยกันออกมาเที่ยวประเทศไทยออกมาท่องเที่ยวกันThailand โอเค น่านก็ โอเค ค่ะ ถ้าคิดถึงมากอยากให้คิดถึงความสวยงามของธรรมชาติอยากให้แม่อยู่ในใจของทุกคนถ้าเกิดมาแล้วรับรองค่ะคุณจะหลงรักน่านแน่นอนค่ะ
สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานน่าน โทร. 054 711 217-8 :: 08.30-16.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ FB : TAT NAN ททท.สำนักงานน่าน Twitter : @tatnanofficial / IG : tatnan_office
โดยวันแรกออกเดินทางจากสโมสรทหารบกถนนวิภาวดี มุ่งสู่จังหวัดน่าน “มนต์เสน่ห์เหมันต์แห่งน่านนคร” แวะรับประทานอาหารกลางวัน ที่ “ร้านเทียนหอม” จ.อุตรดิตถ์ จากนั้นเดินทางต่อไปที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน เข้าที่พัก โรงแรมชมพูภูคา รีสอร์ท และรับประทานอาหารเย็น ณ สวนอาหารชมพูภูคา รีสอร์ท
เช้าวันรุ่งขึ้น 21 กุมภาพันธ์ 2563 ออกเดินทางสู่ “อุทยานแห่งชาติดอยภูคา” มีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะดอยภูคามีเมฆปกคลุมตลอดฤดูฝนและฤดูหนาวจึงมีทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ดอยภูคาเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติดอยภูคาคือการได้มาชม ต้นชมพูภูคา (Bretschneidera sinensi) พันธุ์ไม้ที่ได้ชื่อว่าหายากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง เคยพบในมณฑลยูนนานของจีนก่อนจะสูญพันธุ์ไป และมีการค้นพบอีกครั้งในประเทศไทยที่ดอยภูคา จ.น่าน พันธุ์ไม้ชนิดนี้จึงหลงเหลืออยู่ในโลกเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ประเทศไทย
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ดอยซิลเวอร์แฟคตอรี่ จังหวัดน่านซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องเงินคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เงินที่ผลิตที่จังหวัดน่านมีคุณภาพดีเปอร์เซ็นต์สูงถึง 96-98 % ชมศูนย์หัตถกรรมเครื่องเงินที่ไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจการผลิตเครื่องเงินแต่ยังเป็นสถานศึกษาที่ให้โอกาสด้านการศึกษาเรียนรู้ สามารถสร้างอาชีพและส่งเสริมให้คนในชุมชนมีรายได้มีอาชีพ ไม่ละทิ้งถิ่นฐานไปหางานในเมืองหลัก รวมทั้งพัฒนาทักษะฝีมือช่าง และการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ที่ได้สืบสานศิลปะหัตถกรรมเครื่องประดับเงินจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น
เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวัน ณ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ ที่มีการนำเห็ดมาเป็นส่วนประกอบของเมนูต่างๆ ท่ามกลางบรรยากาศแบบธรรมชาติ ร้านนี้เป็นร้่านอาหารแบบ walk in ไม่รับจองโต๊ะ ไม่มีวันหยุด มักใช้เวลารับบริการนานในมื้อเที่ยงของวันหยุด ดังนั้นวางแผนจะมาลิ้มลอง พิซซ่ากลางป่า และอาหารอื่นๆ ที่นี่ต้องวางแผนกันดีๆ จะได้ไม่ผิดหวัง
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ร้านลำดวนผ้าทอ ท่ามกลางบรรยากาศบ้านนาบรรยากาศกลางทุ่งนาเขียวขจี และภูมิทัศน์ที่สวยงามของป่าเขาและธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตเรียบง่ายบริเวณร้านกาแฟไทลื้อ มีร้านจำหน่ายเสื้อผ้าพื้นเมืองหลากหลายรูปแบบ
จุดหมายถัดไปเดินทางไปยัง วัดภูเก็ต ตั้งชื่อตามหมู่บ้านเก็ต แต่เนื่องด้วยเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินสูงซึ่งทางเหนือเรียกว่า “ดอย” หรือ “ภู” จึงได้ตั้งชื่อว่าวัดภูเก็ต หมายถึงวัดที่ตั้งอยู่บนภูบานเก็ต วัดภูเก็ตแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูมหัศจรรย์มีฮวงจุ้ยถูกหลักทักษาพยากรณ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีภูมิประเทศสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน มีอุโบสถทรงล้านนาประยุกต์จิตรกรรมฝาผนังสามมิติ เป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อแสนปัวหรือหลวงพ่อพุทธเมตตา” องค์ศักดิ์สิทธิ์ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก เพ่งตรงไปยังอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ใต้เชิงดอยเป็นพื้นที่ทำนาของชาวบ้าน เมื่อถึงฤดูหนาวจะเกิดทะเลหมอกสุดแสนประทับใจ ข้างล่างเชิงเขามีลำน้ำไหลผ่าน ซึ่งเป็นน้ำซับซึมมาจากใต้ดินไหลรินมารวมกัน เป็นลำธารให้ฝูงปลาและสัตว์น้ำอาศัยอยู่ เป็นเขตอภัยทาน และที่นั่นยังมี ตูบนาไทลื้อ&ตูบนากาแฟ ตั้งอยู่หน้าวัดภูเก็ต ในบรรยากาศริมทุ่งนาจิบกาแฟริมทุ่งนาเดินเล่นบนสะพานไม้ไผ่ให้อาหารปลาไทลื้อถ่ายรูปสุดเก๋
จากนั้นเดินทางไปยัง วัดบ้านก๋ง หรือ วัดศรีมงคล อำเภอท่าวังผา แหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก มีภูมิทัศน์สวยงามมีระเบียงชมวิวด้านหลังวัดติดกับทุ่งนา ด้านล่างมีแม่น้ำไหลผ่านภายในวัดมีความสวยงาม เป็นวัดเก่าแก่ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2395 มีพิพิธภัณฑ์หอธรรมหลวง (ไม้สักทอง) รวมของเก่าโบราณ แหล่งศิลปะ และภาพจิตรกรรม พระภิกษุที่มีชื่อที่สุดของวัดนี้ คือ หลวงปู่ก๋ง ด้านหลังวัดมีร้านชมวิว ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามและมองเห็นทุ่งนาเขียวขจี และทิวเขาของดอยภูคา เรียงรายสลับซับซ้อน บริเวณนาข้าวมีที่พักและ ร้านกาแฟฮักน่าน มีสะพานไม้ไผ่เชื่อมจากตัววัดสามารถลงไปเดินเล่นถ่ายภาพได้ โดยบริเวณลานชมวิวทางวัดได้จัดทำเป็นซุ้มและจุดชมวิวให้ถ่ายภาพหลายจุด รวมถึงร้านกาแฟบรรยากาศไทยๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ ภายในวิหารหลวงที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงาม โดยเลียนแบบการวาดของหนานบัวผัน จิตรกรชาวน่านเชื้อสายไทยลื้อ ซึ่งวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์และวัดหนองบัวของจังหวัดน่าน รวมถึงพิพิธภัณฑ์มงคลธรรมรังษีซึ่งรวบรวมของโบราณต่างๆ ก่อนเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองน่านเมืองเก่าที่มีชีวิต
เข้าที่พัก ณ โรงแรมน้ำทอง โรงแรมชั้นนำที่ทันสมัย พักผ่อนสะดวกสบายของจังหวัดน่าน เพื่อรับประทานอาหารเย็น และต่อด้วยกิจกรรมนั่งรถรางชมเมืองยามค่ำคืน เดินทางไปยัง ร้านของหวานป้านิ่ม Signature ของดีอีกอย่างที่ห้ามพลาดของเมืองน่าน ชิมขนมหวานไทย โดยเฉพาะ บัวลอย ข้าวฟ่าง เต้าส่วน ถั่วดำ ไอติมรวมมิตร เฉาก๊วย
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 เดินทางไปยัง อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย เพื่อไปชมยอดดอยที่มีความสวยงามคือ ดอยเสมอดาว และ ผาหัวสิงห์ เป็นลานกว้างตามสันเขาที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ในจุดเดียวกัน ยามค่ำคืนยังเปลี่ยนเป็นลานดูดาวได้อีกด้วย และเป็นจุดกางเต็นท์พักแรมของอุทยานมองเห็นหน้าผาหัวสิงห์อยู่ปลายสันเขา
จากนั้นเดินทางไปชม เสาดินนาน้อย (ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ ตั้งอยู่ที่ตำบลเชียงของ ทางด้านทิศตะวันตกของอุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีระยะทางห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 24 กิโลเมตร ทั้งสองแห่งตั้งอยู่ไม่ไกลกันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงาม ที่เกิดจากการทับถมของดินและเกิดน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นริ้วรายที่แปลกตา มีลักษณะเป็นหุบผาและแท่งดินผสมหินลูกรังสีแดงเป็นแท่งมนกลม แล้วแต่จะจินตนาการให้เป็นรูปอะไร กระจายอยู่ในพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ คล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่โดยมีป่าเต็งรังขึ้นอยู่กับจัดกระจายสันติฐานว่าเสาดินนาน้อยมีอายุประมาณ 30,000 – 10,000 ปี และเคยเป็นที่กั้นลมทะเลมาก่อน เคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า
และเดินทางไปชมความสวยงามอลังการของ “วัดบ่อแก้ว” อ.นาหมื่น จ.น่าน ที่นำความวิจิตรสวยงามจากวัดร่องขุน และวัดพระสิงห์ และอีกหลายๆ วัด นำมาประยุกต์และบูรณะวัด ให้เป็นความงดงามตระการตาของวัดบ่อแก้ว ถือเป็น UNSEEN ที่งดงามอีกที่หนึ่งของจังหวัดน่านเลยทีเดียว
จากนั้นเดินทางไปยังอำเภอเวียงสา รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านจวน อำเภอเวียงสา และไปชม วัดบุญยืน พระอารามหลวง อำเภอเวียงสา ศูนย์รวมศรัทธาประเพณีใส่บาตรเทียนหนึ่งเดียวในประเทศไทย เป็นวัดประจำอำเภอเวียงสา เป็นศูนย์รวมของการผสมผสานศิลปะหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ สุโขทัย ล้านนา ล้านช้าง อาณาจักรน่านเจ้าในอดีต จุดเด่นที่ดึงดูดศรัทธาคือพระประธานปางประทับยืนองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดน่าน และพระอุโบสถที่งดงาม
วัดบุญยืนมีความสำคัญต่อความมั่นคงของคนจังหวัดน่านโดยตั้งแต่สมัย เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 56 เป็นต้นมา เมื่อบ้านเมืองเกิดความไม่สงบหรือเกิดภัยธรรมชาติในเมืองน่านคราใด เจ้าผู้ครองนครน่านและประชาชนจะประกอบพิธีบวงสรวงสักการะบูชาพระธาตุเจดีย์วัดบุญยืน ซึ่งก่อให้เกิดขวัญกำลังใจต่อประชาชนได้เป็นอย่างดี และสมัยที่ยังมีเจ้าผู้ครองนครน่าน มีการถือประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นในพระวิหารต่อหน้าพระพุทธปฏิมาปางประทับยืน ต่อมา พ.ศ 2485 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ วัดบุญยืนมีพระอุโบสถที่งดงามมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยมีหลังคาอุโบสถลดหลั่นเหมือนม้าต่างแพร ต่างไหม ด้านหน้ามี 4 ชั้น ด้านหลังมี 3 ชั้น บานประตูเป็นไม้แกะสลักและแกะลวดลายสามชั้น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่หาดูได้ยากและมีความงดงามยิ่ง นอกจากนี้ วัดบุญยืนยังมีประเพณีที่สำคัญที่ชาวเวียงสายึดถือปฏิบัติกันมายาวนานนับร้อยปี คือ ประเพณีใส่บาตรเทียน เป็นประเพณีใส่บาตรด้วยเทียนเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 8 หรือ หลังจากวันเข้าพรรษา 1 วัน
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง หออัตลักษณ์น่าน ชม พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์เชื่อมโยงกับยุคสมัย ทางวัฒนธรรม และธรรมชาติของเมืองน่าน
และเดินทางต่อไปยังศูนย์OTOP D Best ตั้งอยู่ใจกลางตัวเมืองน่านที่นี่มีของฝากทั้งขนมของแห้งเสื้อผ้า เครื่องเงิน ของที่ระลึกและอีกมากของฝากที่ขึ้นชื่อของเมืองน่านได้แก่ มะไฟจีนอบแห้ง สาหร่ายน้ำจืดแปรรูป ผ้าทอพื้นเมือง ผ้าทอมือ และเครื่องเงินเครื่องจักสานหัตถกรรมชุมชนและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธรรมชาติทั้งของรับประทานและข้าวของเครื่องใช้ แชมพู สบู่ ยาสีฟัน เกลือ
และเดินทางไปยัง “วัดพระธาตุเขาน้อย” ตำบลดู่ใต้ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เป็นวัดราษฎร์องค์พระธาตุตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย ซึ่งอยู่ด้านตะวันตกของตัวเมืองน่าน สร้างในสมัยเจ้าปู่แข็งเมื่อปี พ.ศ 2231 พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนาภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์์ผริตเดชฯ ระหว่าง พ.ศ 2449 – 2454 โดยช่างชาวพม่า และวิหารสร้างในสมัยนี้เช่นกัน
วัดพระธาตุเขาน้อย เป็นปูชนียสถานที่สำคัญ และเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน สันนิษฐานว่ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่บนดอยเขาน้อยสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 240 เมตร หน้าวัดมีทางขึ้นเป็นบันไดนาค 303 ขั้น ปัจจุบันบริเวณลานชมวิวทิวทัศน์ ประดิษฐานพระพุทธมหามงคลนันทบุรีศรีน่าน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร บนฐานดอกบัวสูง 9 เมตร บนยอดพระเกศาทำจากทองคำหนัก 27 บาท สร้างขึ้นในมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ 2542 ปัจจุบันบริเวณลานชมทิวทัศน์ จะสามารถมองเห็นมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของตัวเมืองน่าน ซึ่งเป็นจุดชมวิวเมืองน่านที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง (ชมพระอาทิตย์ตก)
หลังจากนั้นรับประทานอาหารเย็น ณ ร้านสุริยาการ์เด้น โดย นางสาวสุกฤตา อนุกูลสาธุกิจ รองผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานน่าน ร่วมรับประทานอาหารและกล่าวต้อนรับ พร้อมแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดน่าน ที่น่าสนใจให้รู้จัก
ท้ายสุดวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เดินทางไปชม “วัดภูมินทร์” วัดหลวงเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 400 ปีด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเป็นทั้งพระอุโบสถพระวิหารและพระเจดีย์ในหลังเดียวกัน พระอุโบสถเป็นอาคารทรงจตุรมุขภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์หันหน้าออกสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ
มีภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” อันลือเลื่อง ทั้งยังได้รับการขนานนามจากนักท่องเที่ยวว่าภาพ“กระซิบรักบันลือโลก” และชม ชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ภายในจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุต่างๆ ประวัติศาสตร์และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองภาคเหนือและชาวเขาเผ่าต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “งาช้างดำ” ถือเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่าน
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์มีซุ้มลีลาวดี จุดถ่ายภาพสวยงามที่มีต้นลีลาวดีเป็นแถวเรียงราย การขยายกิ่งก้านโค้งโน้มเอียงเข้าหากันคล้ายเป็นอุโมงค์ต้นไม้เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจุดของจังหวัดน่านซึ่งเป็นจุดห้ามพลาด เมื่อมาถึงน่านแล้วต้องมาถ่ายภาพที่ซุ้มลีลาวดีแห่งนี้
หลังจากนั้นเดินทางไปยัง วัดพระธาตุแช่แห้ง พระอารามหลวง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร เดิมเป็นวัดราษฎร์ ปัจจุบันเป็นพระอารามหลวง พระธาตุตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเตี้ยๆ ทางตะวันออกของแม่น้ำน่าน บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัวสามารถมองเห็นได้แต่ไกล เนื่องจากสูงถึง 2 เส้น “พระธาตุแช่แห้ง” เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ สร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง (เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ. 1869 – 1902) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ พระพิมพ์เงิน และพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไท เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ใน พ.ศ. 1897 เป็นอนุสรณ์ของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านกับเมืองสุโขทัยในอดีต
แต่เดิมพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่บนเชิงเนินปูด้วยอิฐ ลาดขึ้นไปยังยอดเงินกว้างประมาณ 20 วา มีบันไดนาคขนาบทั้งสองข้าง องค์พระเจดีย์เป็นแบบล้านนาไทย เป็นเจดีย์ทรงระฆัง สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริภุญไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง) ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาค หน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน ทั้งนี้ พระธาตุแช่แห้ง เป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่าหากได้เดินทางไป “ชุธาตุ” หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิด จะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม วัดพระธาตุแช่แห้ง ได้ทุกวันเวลา 06:00 – 18:00 น
จากนั้นเดินทางกลับโดยแวะรับประทานอาหารกลางวัน ณ สวนอาหารเตาบัวหลวง เด่นชัย จ.แพร่ และรับประทานอาหารค่ำที่จังหวัดสิงห์บุรี ณ ร้านเกษรา เบเกอรี่ ร้านต้นตำรับเค้กปลาช่อนแห่งแกรก จุดพักรถและแวะช้อปของฝากจากสิงห์บุรี ก่อนถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
📍www.indyreport.com