ช.ส.ท. จับมือ ททท. ภูมิภาคภาคเหนือ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว​ “สุขทันที…ที่เที่ยว อุตรดิตถ์” นำสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยววัยเก๋ากว่า 90 ชีวิต ร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งวันแม่และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์

ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ (ช.ส.ท.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “สุขทันที…ที่เที่ยวอุตรดิตถ์” ระหว่างวันที่ 7-10 สิงหาคม 2568​ โดยนางวรางคณา สุเมธวัน ประธาน ช.ส.ท. นำสมาชิกสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยววัยเก๋ากว่า 90 ชีวิต ขึ้นรถไฟจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ขบวนพิเศษรถด่วนดีเซลราง​ ขบวนที่​ 7​ จำนวน​ 2​ โบกี้ เดินทางไปจังหวัดอุตรดิตถ์และเดินทางต่อด้วยรถตู้​ VIP ปรับอากาศ 11 คัน เพื่อสัมผัสความงามและเสน่ห์ท่องเที่ยวเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ

นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) เผยว่า “เดือนสิงหาคมคือเดือนสำคัญของเราคนไทย เราถือว่าเป็นเดือนของแม่ วันแม่ที่อยู่ในวันที่ 12 สิงหาคม เราได้จัดการท่องเที่ยวเฉลิมพระเกียรติ ฯ พระพันปีหลวง มาโดยตลอด สำหรับจังหวัดอุตรดิตถ์ จุดหมายปลายทางอยู่ที่เขื่อนสิริกิติ์ ถือว่าเรามีส่วนร่วมกันในการไปร่วมถวายพระพรท่าน ให้ทรงพระเกษมสำราญ

นอกจากนั้นกิจกรรมสำคัญอีกอย่างคือ เป็นวาระของผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ คุณสมชาย ชมภูน้อยที่ท่านเกษียณอายุในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งท่านเป็นเจ้าหน้าที่​ ททท.​ ที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวที่ติดตามสนับสนุนกิจกรรมของชมรมฯ มาโดยตลอด ไม่ว่าท่านจะอยู่เหนือใต้​ ออก​ ตก​ ท่านก็รับรองพวกเราให้เดินทางไปทำงานในที่นั้นๆ​ ได้อย่างสะดวกสบาย​ในทุกๆ​ ครั้ง​ ถือเป็นครั้งหนึ่งซึ่งเราจะได้ร่วมกันเลี้ยงส่งท่าน​ นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการเดินทางมาครั้งนี้​ นอกเหนือจากการมาทำความรู้จักจังหวัดอุตรดิตถ์

การเดินทางในครั้งนี้และทุกๆ​ ครั้งที่ผ่านมาในอนาคต เราจะรวบรวมกิจกรรมนั้นไว้ใน Facebook ของชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวรวมทั้ง Facebook ของน้อง ๆ สื่อมวลชน สามารถติดตามได้ว่าเมืองไทยมีดีที่ไหน ติดตามได้ตลอดคะ” นางวรางคณา​ ประธาน​ ช.ส.ท.​ กล่าว

(กิจกรรมวันที่​ 1)​ จุดหมายแรก​ ณ “สถานีรถไฟศิลาอาสน์” อาจจะแปลกใจทำไมนั่งรถไฟ​ถึงจังหวัดอุตรดิถ์​แล้วไม่ลงที่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์​ แต่กลับมาลงที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์​ ก็เป็นเพราะว่า​ สถานีรถไฟศิลาอาสน์นั้นเป็นสถานีรถไฟที่สำคัญของภาคเหนือ และศูนย์คอนเทนเนอร์ของรถไฟสายเหนือ ระยะทางจากกรุงเทพถึงสถานีรถไฟศิลาอาสน์ คือ 487.52 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง​

สถานีรถไฟศิลาอาสน์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2495 และเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2502 เวลา 07:00 น. ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการจัดขบวนรถไฟ ขึ้นภาคเหนือ​ สร้างขึ้นหลังจากสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ประสบปัญหาการจัดขบวนรถไฟ​ จึงย้ายที่ทำการตัดขบวนรถมาไว้ ที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์​ แต่เดิมสถานรแห่งนี้ชื่อ​ “สถานีอุตรดิตถ์ใหม่” จัดสร้างสถานีขึ้นที่ ก.ม. 488 ระหว่างสถานีอุตรดิตถ์กับสถานีท่าเสาในทางสายเหนือ ที่ย่านสถานีอุตรดิตถ์ใหม่ แต่สถานีดังกล่าวยังไม่มีชื่อ จึงตั้งชื่อสถานีที่สร้างขึ้นใหม่ว่า “สถานีศิลาอาสน์” ใช้อักษรย่อว่า ศล. ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Sila At”

หลังจากนั้นคณะเปลี่ยนมานั่งรถตู้​ VIP ปรับอากาศ​ ที่มารอรับ​จำนวน​ 11​ คัน​ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวและคณะจัดนำขบวนให้การดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง​ จากนั้นเดินทางไปยัง​ “พิพิธภัณฑ์บ้านกนกมณี” ที่เตรียมต้อนรับคณะด้วย​ Afternoon Tea​ รับประทานทานคู่กับขนมไทยโบราณ​ “​ขนมเทียนเสวย” เป็นขนมไทยโบราณ​ คิดขึ้นโดย​คุณชิด​ดวง​ กนกมณี​ บุตรีอดีตเจ้าเมืองอุตรดิตถ์​

โดยคุณเฉลิมวงศ์ จันทรางศุ ทายาทตระกูลกนกมณี กล่าวทักทายให้การต้อนรับคณะ​ และพาเดินเยี่ยมชม​”พิพิธภัณฑ์บ้านกนกมณี​” แหล่งท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าที่เกิดจากความรักและความผูกพันของ​ อำมาตย์โท พระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ (โชติ กนกมณี) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ (พ.ศ.2474 – 2476) ที่ย้ายมาจากพระนครเพราะหลงรักในจังหวัดอุตรดิตถ์​ จึงสร้างบ้านกนกมณีขึ้นในปี​ พ.ศ.​2476 บนเนื้อที่ 5 ไร่ ณ​ ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในราคา 800 บาท พร้อมปลูกเรือน 3 หลัง เป็นเรือนไทยประยุกต์เชื่อมต่อกัน​ รายล้อมไปด้วยต้นไมนานาพันธุ์ในวรรณคดี และเมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม ในปี พ.ศ.​ 2510 จึงตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น​จนถึงปัจจุบัน

คุณชิดดวง กนกมณี (บุตรสาว)​ ของท่านได้ดูแลรักษาบ้านกนกมณีให้มีสภาพสวยงามตลอดเวลา ทั้งยังได้ฝากแนวคิดให้กับลูกหลาน​ให้จัดทำบ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเครื่องใช้ของสะสมต่างๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงท่านเจ้าคุณ และเป็นเกียรติยศของตระกูลกนกมณี ให้คงอยู่คู่จังหวัดอุตรดิตถ์​

จากนั้นคณะเดินทางเข้าที่พัก​ ณ​ โรงแรมสีหราช​ โรงแรมเก่าแก่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุตรดิตถ์​ ซึ่งคณะจะพักที่นี่เป็นเวลาสองวันระหว่างทำกิจกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์​

ลำดับถัดไปคณะเดินทางไปกราบสักการะ​พระพุทธพิชัยไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) องค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุตรดิตถ์ ณ​ วัดกลางธรรมสาคร (วัดกลาง) ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณ พ.ศ.2285 ​ และที่วัดแห่งนี้ยังมีโบสถ์มหาอุตม์​ ภายในสามารถเข้าไปกราบนมัสการไหว้พระขอพรพระพุทธรูปเก่าแก่ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ที่งดงามและดูสงบ

นอกจากนี้​ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งวัดกลางในอดีตเคยเป็นท่าจอดเรือ เพื่อเดินเท้าไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว​ เนื่องจากลำน้ำเปลี่ยนทางเดิน​

จากนั้นคณะเดินทางไปยัง​ “ร้านลานโพธิ์” เพื่อรับประทานอาหารเย็น​ ก่อนเดินทางกลับที่พัก​ ณ​ โรงแรมสีหราช

(กิจกรรมวันที่​ 2)​ เนื่องจากสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก​ ช.ส.ท.​ จึงแบ่งกลุ่มเป็น​ 2​ กลุ่มในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่กำหนดเพื่อความสะดวกในการดูแล​ และความคล่องตัวในการเดินทางอีกด้วย

จุดหมายแรกเช้านี้คือ​ “สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา” สถานีรถไฟชุมทางแห่งแรกในภาคเหนือเปิดเดินรถไฟ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ร.ศ. 127 หรือ พ.ศ. 2451 มีทางรถไฟเชื่อมไปยังอำเภอสวรรคโลกผ่านสถานีรถไฟคลองมะพลับ และสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

ที่มาของชื่อของสถานีรถไฟเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสทางรถไฟมาถึงสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดพักรถเพื่อเติมน้ำรถจักรไอน้ำ เมื่อพระองค์ทราบว่าสถานีรถไฟแห่งนี้ยังไม่มีชื่อ จึงพระราชทานชื่อว่า “บ้านดารา” มาจากพระนามของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา เจ้าหญิงในราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งนครเชียงใหม่ และเพื่อเป็นหมุดหมายว่ากำลังจะเข้าเขตแดนล้านนา คือเขตแดนบ้านของนางดารา​ ปัจจุบันชื่อดาราจึงกลายเป็นชื่อของชุมชน หมู่บ้าน และชื่อตำบลหนึ่งของอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์

จากนั้นเดินทางต่อไปยัง​ “สะพานปรมินทร์” สมัยสงครามโลกครั้งที่​ 2​ ณ​ บ้านดารา​ อำเภอพิชัย​ จังหวัดอุตรดิตถ์​ สะพานประวัติศาสตร์มีความสวยงาม​อายุกว่า​ร้อยปี​ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากอังกฤษ อเมริกา ยกทัพเข้าเอเชียเข้ารบกับญี่ปุ่น เพื่อเป็นการตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธของญี่ปุ่น จึงบุกโจมตีสะพานต่างๆ สะพานปรมินทร์จึงเป็นเป้าในการโจมตีครั้งนี้ด้วย​

ส่วนตัวสะพานชั่วคราวชาวบ้านเรียกว่าสะพานเบี่ยงได้รื้อออกไปแล้วเพื่อซ่อมแซมสร้างสะพานปรมินทร์ให้แล้วเสร็จ เสร็จในปี พ.ศ.2496 สมัยรัชกาลที่​ 5​ ก่อสร้างโดยช่างชาวเยอรมัน​ มีความสวยงามแข็งแรง​ และนับเป็นสะพานเหล็กของการรถไฟที่มีความยาวมากที่สุดในภาคเหนือ​ มีการเปิดสะพานใช้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานนามสะพานแห่งนี้ว่า สะพานปรมินทร์

หลังจากนั้นคณะเดินทางมาล่องเรือชมสวนฝรั่งกิมจู “สวนดีพิชัยฝรั่งกิมจู” อำเภอพิชัย 16/3 หมู่11 บ้านไทรเอน ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ “คุณสายฝน เกิดแก้ว” เจ้าของสวนและชุมชน บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ มีการจัดการที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพึ่งพาตัวเอง​ โดยทำสวนแบบขุดร่อง ตามแบบสวนภาคกลางและปลูกกล้วยไข่เป็นไม้ให้ร่มเงาแก่ฝรั่งในสวน

ทำให้ฝรั่งได้รับน้ำเพียงพอสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ทำให้สด สะอาด ปลอดภัยมีรสชาติหวานกรอบ หอมอร่อย เนื้อฉ่ำน้ำ ผิวเรียบสวย ได้รับมาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร​ เลี้ยงปลาในร่องสวนเพื่อให้ปลากินพืช และอื่นๆ เช่น หอยขม เพื่อทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์

คณะเดินทางกลับมารับประทานอาหารกลางวัน​ ณ บ้านดารา​ จ.อุตรดิตถ์​ พร้อมกับ​อาหารที่จัดมาเป็นเซ็ท 4​ ชุด​ เมนู ก๋วยเตี๋ยวหมูแดงคลุก, ขนมจีนแกงเขียวหวาน, ผัดไทย, ข้าวเหนียวไก่ทอด​ และขนมหวาน​อีกหนึ่งคือ​ บวชเผือก​ มาแบบจุดเต็มทั้งอิ่มทั้งอร่อย

ช่วงบ่ายเดินทางไปสักการะท่านพ่อพิชัยดาบหัก​ ณ​ วัดเอกา​ ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์​ ที่แห่งนี้คือตำนานพื้นที่สมรภูมิรบ​สมัยพระยาพิชัยดาบหัก​ รับรู้ที่มาของ “ไก่เขียวพาลี” แห่งอุตรดิตถ์ ไก่ชน นักรบของพระยาพิชัยดาบหัก​ ลงสนามคราวใดจะตีชนะคู่ต่อสู้ทุกครั้ง​ พร้อมร่วมกันทำกิจกรรมเพ้นท์สีไก่เขียวพาลี​ ถวายแด่ท่านพ่อพิชัยดาบหัก

จากนั้นเดินทางไปรับประทานของว่าง​ ณ​ ร้านม่อนลับแล​ ชิม​ข้าวพันผัก เมืองลับแล​ อุตรดิตถ์​ เมนูบ้านๆ แต่กลับกลายเป็นตำนานความอร่อยขึ้นชื่อของจังหวัดอุตรดิตถ์​ พร้อมทั้งอร่อยกับลอดช่องเค็ม​และ​ข้าวเหนียวทุเรียนสุดอร่อย​ก่อนเดินทางไปชม​ “ซุ้มประตูกาลเวลาเมืองลับแล”

ซุ้มประตูกาลเวลาเมืองลับแล​ “เมืองที่ห้ามพูดโกหก” ตามตำนานนิทานพื้นบ้านเล่ากันว่าเป็นเมืองของคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต​ ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์เมืองลับแล​ให้ชมด้วย

“ซุ้มประตูเมือง​แล” สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน​ ด้านข้างมีอนุสาวรีย์แม่หม้ายเมืองลับแลใน​เป็นรูปปั้นหญิงสาวอุ้มลูกน้อยข้างๆ​ มีสามีนั่งคอตก​ ในมือถือย่ามใส่ขมิ้น​ บริเวณฐานจารึกข้อความ​ “ขอเพียงสัจจะวาจา” สัญลักษณ์​สำคัญของเมืองลับแล เมืองที่มักถูกเรียกกันติดปากว่า ลับแล-แม่หม้าย​ จากนั้นคณะเดินทางกลับที่พัก

ค่ำคืนของกิจกรรมวันนี้​ คณะเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะ ช.ส.ท. โดยได้รับเกียรติ์จาก นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ​ ช.ส.ท. ในโอกาสจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเยือนจังหวัดอุตรดิตถ์​ “สุขทันที..ที่เที่ยวอุตรดิตถ์” ณ​ ห้องบอลรูม โรงแรมสีหราช จ.อุตรดิตถ์​

โดย​ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายกรรชกร ประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์, นายวชิรพันธ์ เตชะเอราวัณ ประธานสภาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และ นางสาวภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานแพร่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดอุตรดิตถ์ และเผยทิศทางการกระตุ้นท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Monent เมืองลับแล สุขทันที ที่เที่ยวอุตรดิตถ์

ทั้งนี้​ บรรยากาศงานเลี้ยงต้อนรับเต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกคัก​ ภายในงานมีการจับรางวัลมอบของที่ระลึกจากแบรนด์ของผู้สนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของ​ (ช.ส.ท.)​ หลายรายการ​ มอบเป็นของรางวัลให้แก่สมาชิกนักท่องเที่ยววัยเก๋าและทีมงานอย่างคับคั่ง..

(กิจกรรมวันที่​ 3)​
กราบสักการะอนุเสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก​ ทหารเอกพระเจ้าตากสินมหาราชขุนนางในสมัยอยุธยาตอนปลาย​ และธนบุรี​ทหารเอกคู่พระไทยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี​ และเป็นผู้มีส่วนกอบกู้เอกราชของชาติไทย​ หลังการเสียกรุงศรีอยุธยา​ครั้งที่ 2​ มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากความกตัญญูกตเวที​ และความกล้าหาญ 1 ใน 4 ทหารเสือของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถือคติที่ว่า​ “ข้าสองเจ้า​ บ่าวสองนายมิดี​”

กราบสักการะพระบรมธาตุ ณ​ “วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง” ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นวัดสำคัญประจำเมืองทุ่งยั้ง​ เจดีย์พระบรมธาตุเป็นเจดีย์เก่าแก่แบบลังกาทรงกลมฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม 3 ชั้น เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เรียกว่า อุรังคธาตุ​(อัฐิส่วนอก) ในวิหารจะประดิษฐานหลวงพ่อหลักเมืองเป็นองค์พระประธาน ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกว่าหลวงพ่อประธานเฒ่า

ด้านนอกที่อยู่ด้านข้างของพระวิหารหลวงจะเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางปรินิพพาน ตั้งอยู่ด้านหน้าของพระวิหารหลวง ​เป็นปกติเวลาสร้างพระพุทธรูปปางนี้ มักจะสร้างเฉพาะองค์พระพุทธรูป สำหรับที่วัดพระบรมธาตุ(ทุ่งยั้ง)​ สร้างเหล่าสาวกที่มาชุมนุมกันในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานด้วย​

“วัดพระแท่นศิลาอาสน์” เดิมชื่อ​ “วัดมหาธาตุ” ตั้งอยู่บนเนินเขาเต่า บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด ทางราชการได้นำพระแท่นศิลาอาสน์ไปประดิษฐานไว้ในตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงถึงความศรัทธาเลื่อมใสและความสำคัญขององค์พระแท่นศิลาอาสน์ได้เป็นอย่างดี พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์เช่นเดียวกับพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้เสด็จมาประทับ นั่งบนพระแท่นแห่งนี้เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้วเพื่อโปรดสัตว์ ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่องในพระพุทธศาสนามายาวนาน และมีความสำคัญยิ่ง

คณะเดินทางไปชมความอะเมซิ่งของ​“สะพานรวงผึ้ง”​ สะพานกลับหัว​ บ้านปางต้นผึ้ง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เป็นสะพานโค้งกลับหัวแห่งเดียวในประเทศไทย เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่​ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทิ้งระเบิดเส้นทางสายเหนือ​ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตโครงสร้างด้านบนจึงปรับโครงสร้างไว้ด้านล่าง​ จะเหมือนเป็นเพียงทางรถไฟทั่วไปปัจจุบันยังใช้ได้อยู่

จากนั้นเดินทางมารับประทานอาหารที่​ “ร้านอาหารบ้านตักเงิน” เป็นร้านอาหารชื่อดังในจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองบนถนนสายหลักที่เดินทางสะดวกสบาย ร้านเปิดให้บริการมาอย่างยาวนานกว่า 28 ปี ด้วยคุณภาพอาหาร​ เมนูวันนี้มีแกงเขียวหวานทุเรียนด้วย

คณะเดินทางมายัง​ “วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ” อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์​ วัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย​ และเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของ “เจ้าพระฝาง” เมืองสวางคบุรี ผู้นำชุมนุมเจ้าพระฝางในคราวเสียสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 อีกด้วย

วัดพระฝางนับว่าเป็นกลุ่มโบราณสถานของศูนย์กลางเมืองฝางสวางคบุรี เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ วัดนี้เป็นวัดพระมหาธาตุประจำเมืองสวางคบุรี ซึ่งในอดีต วัดพระฝางนั้น ยังเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของ “เจ้าพระฝาง” เมืองสวางคบุรี ผู้นำชุมนุมเจ้าพระฝางในคราวเสียสมัยกรุง​

ภายในวัดมีโบราณสถานที่น่าสนใจคือ พระธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์สำคัญของอณาจักรมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

นอกจากนี้ วัดพระฝางยังมีอุโบสถมหาอุด อยู่ด้านทิศตะวันตกของกลุ่มโบราณสถาน​ ตัวอุโบสถมีสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเดิมภายในอุโบสถเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระฝาง ซึ่งปัจจุบันตัวอุโบสถยังคงมีบานประตูไม้และหน้าบันแกะสลักศิลปะสมัยอยุธยาอันสวยงามอยู่ (บานปัจจุบันเป็นบานจำลอง)

จากนั้นเดินทางไปยัง​ “เขื่อนสิริกิติ์” ​ ซึ่งเป็นที่พักของคณะในค่ำคืนนี้​ สัมผัสบรรยากาศสุดฟินยามอาทิตย์อัสดงเหนือบริเวณ​ ​เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา​ จังหวัดอุตรดิตถ์​​ ชมเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย​ และวิวทิวทัศน์ที่งดงามสุดลูกหูลูกตา

“เขื่อนสิริกิติ์” เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่​ ก่อสร้างขึ้นตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน เดิมชื่อ​ “เขื่อนผาซ่อม” ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงนามว่า “เขื่อนสิริกิติ์” เมื่อวันที่​ 24​ พฤษภาคม​ พ.ศ.​ 2511​ ​

ซึ่งก่อสร้างเพื่อปิดกั้นแม่น้ำน่าน​ ณ​ บริเวณเขาผาช่อตำบลผาเลือด​ อำเภอท่าปลา​ จังหวัดอุตรดิตถ์​ ลักษณะของเขื่อนเป็นเขื่อนดินแกนกลางเป็นดินเหนียว​ ความจุของอ่างเก็บน้ำสามารถเก็บกักน้ำได้มาก​เป็นที่สามรองจากเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนภูมิพล​

ค่ำวันนี้จังหวัดอุตรดิตถ์คึกคักงานเลี้ยงต้อนรับคณะ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคเหนือ​ โดยมี ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ททท. และ สมาชิกชมรม ช.ส ท. รวมทั้งภาคีเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐ เอกชนจังหวัดอุตรดิตถ์ร่วมงานที่ห้องจัดเลี้ยง เขื่อนสิริกิติ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดอุตรดิตถ์​ ภายในงาน​ ช.ส.ท.​ จัดเซอร์ไพส์ร่วมร้องเพลง​ “ดอกไม้ให้คุณ” และมอบดอกไม้ให้กับ​ นายสมชาย​ ชมพูน้อย​ เนื่องในวาระที่จะเกษียณในเดือนกันยายนนี้​ บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจ​

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย​ (ททท.)​ ให้เกียรติมาเป็นประธานพิธีเปิดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะฯ​ และกล่าวต้อนรับ พร้อมเผยทิศทางภาพรวมการท่องเที่ยวภาคเหนือ และจังหวัดอุตรดิตถ์​ พร้อมด้วย นางสาวภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานแพร่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดอุตรดิตถ์ แนะนำแหล่งท่องเที่ยว​ที่น่าสนใจ “ภูสอยดาว” สำหรับผู้​สนใจการท่องเที่ยวเดินป่าชมธรรมชาติ​ ชม​ “ดอกหงอนนาค” ที่สวยงามของผืนป่าบนยอดภูสอยดาว​ รวมทั้งเผยทิศทางการกระตุ้นท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Moment เมืองลับแล สุขทันที ที่เที่ยวอุตรดิตถ์​ อีกด้วย

(กิจกรรมวันที่​ 4)
เช้านี้คณะเดินทางไปยัง​ “อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่” ตั้งอยู่บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ชมต้น​ “มเหสักข์ “ เป็นชื่อที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามให้ ซึ่งมีความหมายว่า​ ”เทวดาผู้ใหญ่” เป็นต้นสักใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 1500 ปี

เดินทางไปชมความงดงาม​ของ “วัดพลอยสังวรนิรันดร์​” วัดที่มีศิลปะวัตถุสวยงามแห่งหนึ่ง​ในจังหวัดอุตรดิตถ์​ เป็นแหล่งท่องเที่ยว​เชิงธรรมะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ​อันสวยงามของอำเภอทองแสนขัน​​ ตั้งอยู่บ้านนาลับแลง​ ตำบลป่าค้าย​ อำเภอทองแสนขัน​ เป็นวัดสาขาหนึ่งของวัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม อำเภอบ้านผือ​จังหวัดอุดรธานี)​

ภายในวัดประดิษฐาน “องค์พระสาระสุทธีมุนีนาถ” พระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่​ ขนาดหน้าตักกว้าง 10 เมตร​ สูง 19 เมตร​ ล้อมรอบด้วยพญานาคราช​ ได้แก่​ ปู่ทะนะมูลนาคราช​ และแม่ย่าเกตุปทุมนคินี​ หลวงปู่มุจริทร์​ ซึ่งถือเป็นพญานาคราช​​คุ้มครองพระพุทธเจ้า​ และพระยาดำแสนสิริจันทรนาคราช​ บริเวณประตูทางเข้ามีรูปปั้นพญานาคมังกรคู่หันหน้าเข้าหากัน​ เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลและความศักดิ์สิทธิ์แก่พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปสักการะขอพร

และก่อนเดินทางกลับคณะแวะมารับประทานอาหารที่ “ร้านลมเย็น” กม.ที่ 100 ถนนทางหลวง หมายเลข 11 พิษณุโลก – เด่นชัย เลขที่่ 173 หมู่ 5 ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

“ร้านลมเย็น” บริการอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย รวมทั้งของฝากของดีของอุตรดิตถ์ที่น่าสนใจอย่างครบวงจรอีกด้วย เรียกว่ามานี่มีครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ อาหาร ของฝาก ของที่ระลึก สามารถซืัอกลับไปเป็นของขวัญของฝากให้กับคนที่เรารักได้อย่างพึงพอใจ​ จากนั้นคณะเดินทางต่อไปยัง​ สถานีรถไฟชุมทางศิลาอาสน์​ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ​ โดยสวัสดิภาพ..

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทาง
ททท.​ภูมิภาคภาคเหนือ
ททท.​สำนักงานแพร่
ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์

ขอขอบพระคุณ​ คณะผู้ร่วมเดินทาง
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว​ (ช.ส.ท.)​

………………………………………….
www.indyreport.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *