
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ (ช.ส.ท.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “สุขทันที…ที่เที่ยวอุตรดิตถ์” ระหว่างวันที่ 7-10 สิงหาคม 2568 โดยนางวรางคณา สุเมธวัน ประธาน ช.ส.ท. นำสมาชิกสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยววัยเก๋ากว่า 90 ชีวิต ขึ้นรถไฟจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ขบวนพิเศษรถด่วนดีเซลราง ขบวนที่ 7 จำนวน 2 โบกี้ เดินทางไปจังหวัดอุตรดิตถ์และเดินทางต่อด้วยรถตู้ VIP ปรับอากาศ 11 คัน เพื่อสัมผัสความงามและเสน่ห์ท่องเที่ยวเมืองลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคเหนือ

นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) เผยว่า “เดือนสิงหาคมคือเดือนสำคัญของเราคนไทย เราถือว่าเป็นเดือนของแม่ วันแม่ที่อยู่ในวันที่ 12 สิงหาคม เราได้จัดการท่องเที่ยวเฉลิมพระเกียรติ ฯ พระพันปีหลวง มาโดยตลอด สำหรับจังหวัดอุตรดิตถ์ จุดหมายปลายทางอยู่ที่เขื่อนสิริกิติ์ ถือว่าเรามีส่วนร่วมกันในการไปร่วมถวายพระพรท่าน ให้ทรงพระเกษมสำราญ

นอกจากนั้นกิจกรรมสำคัญอีกอย่างคือ เป็นวาระของผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ คุณสมชาย ชมภูน้อยที่ท่านเกษียณอายุในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งท่านเป็นเจ้าหน้าที่ ททท. ที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวที่ติดตามสนับสนุนกิจกรรมของชมรมฯ มาโดยตลอด ไม่ว่าท่านจะอยู่เหนือใต้ ออก ตก ท่านก็รับรองพวกเราให้เดินทางไปทำงานในที่นั้นๆ ได้อย่างสะดวกสบายในทุกๆ ครั้ง ถือเป็นครั้งหนึ่งซึ่งเราจะได้ร่วมกันเลี้ยงส่งท่าน นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการเดินทางมาครั้งนี้ นอกเหนือจากการมาทำความรู้จักจังหวัดอุตรดิตถ์


การเดินทางในครั้งนี้และทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาในอนาคต เราจะรวบรวมกิจกรรมนั้นไว้ใน Facebook ของชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยวรวมทั้ง Facebook ของน้อง ๆ สื่อมวลชน สามารถติดตามได้ว่าเมืองไทยมีดีที่ไหน ติดตามได้ตลอดคะ” นางวรางคณา ประธาน ช.ส.ท. กล่าว

(กิจกรรมวันที่ 1) จุดหมายแรก ณ “สถานีรถไฟศิลาอาสน์” อาจจะแปลกใจทำไมนั่งรถไฟถึงจังหวัดอุตรดิถ์แล้วไม่ลงที่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ แต่กลับมาลงที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์ ก็เป็นเพราะว่า สถานีรถไฟศิลาอาสน์นั้นเป็นสถานีรถไฟที่สำคัญของภาคเหนือ และศูนย์คอนเทนเนอร์ของรถไฟสายเหนือ ระยะทางจากกรุงเทพถึงสถานีรถไฟศิลาอาสน์ คือ 487.52 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง

สถานีรถไฟศิลาอาสน์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2495 และเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2502 เวลา 07:00 น. ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการจัดขบวนรถไฟ ขึ้นภาคเหนือ สร้างขึ้นหลังจากสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ประสบปัญหาการจัดขบวนรถไฟ จึงย้ายที่ทำการตัดขบวนรถมาไว้ ที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์ แต่เดิมสถานรแห่งนี้ชื่อ “สถานีอุตรดิตถ์ใหม่” จัดสร้างสถานีขึ้นที่ ก.ม. 488 ระหว่างสถานีอุตรดิตถ์กับสถานีท่าเสาในทางสายเหนือ ที่ย่านสถานีอุตรดิตถ์ใหม่ แต่สถานีดังกล่าวยังไม่มีชื่อ จึงตั้งชื่อสถานีที่สร้างขึ้นใหม่ว่า “สถานีศิลาอาสน์” ใช้อักษรย่อว่า ศล. ชื่อภาษาอังกฤษว่า “Sila At”

หลังจากนั้นคณะเปลี่ยนมานั่งรถตู้ VIP ปรับอากาศ ที่มารอรับจำนวน 11 คัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวและคณะจัดนำขบวนให้การดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง จากนั้นเดินทางไปยัง “พิพิธภัณฑ์บ้านกนกมณี” ที่เตรียมต้อนรับคณะด้วย Afternoon Tea รับประทานทานคู่กับขนมไทยโบราณ “ขนมเทียนเสวย” เป็นขนมไทยโบราณ คิดขึ้นโดยคุณชิดดวง กนกมณี บุตรีอดีตเจ้าเมืองอุตรดิตถ์




โดยคุณเฉลิมวงศ์ จันทรางศุ ทายาทตระกูลกนกมณี กล่าวทักทายให้การต้อนรับคณะ และพาเดินเยี่ยมชม”พิพิธภัณฑ์บ้านกนกมณี” แหล่งท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าที่เกิดจากความรักและความผูกพันของ อำมาตย์โท พระยาอัธยาศัยวิสุทธิ์ (โชติ กนกมณี) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ (พ.ศ.2474 – 2476) ที่ย้ายมาจากพระนครเพราะหลงรักในจังหวัดอุตรดิตถ์ จึงสร้างบ้านกนกมณีขึ้นในปี พ.ศ.2476 บนเนื้อที่ 5 ไร่ ณ ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในราคา 800 บาท พร้อมปลูกเรือน 3 หลัง เป็นเรือนไทยประยุกต์เชื่อมต่อกัน รายล้อมไปด้วยต้นไมนานาพันธุ์ในวรรณคดี และเมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรม ในปี พ.ศ. 2510 จึงตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน



คุณชิดดวง กนกมณี (บุตรสาว) ของท่านได้ดูแลรักษาบ้านกนกมณีให้มีสภาพสวยงามตลอดเวลา ทั้งยังได้ฝากแนวคิดให้กับลูกหลานให้จัดทำบ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเครื่องใช้ของสะสมต่างๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงท่านเจ้าคุณ และเป็นเกียรติยศของตระกูลกนกมณี ให้คงอยู่คู่จังหวัดอุตรดิตถ์

จากนั้นคณะเดินทางเข้าที่พัก ณ โรงแรมสีหราช โรงแรมเก่าแก่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งคณะจะพักที่นี่เป็นเวลาสองวันระหว่างทำกิจกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์

ลำดับถัดไปคณะเดินทางไปกราบสักการะพระพุทธพิชัยไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) องค์ใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุตรดิตถ์ ณ วัดกลางธรรมสาคร (วัดกลาง) ตั้งอยู่ในตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณ พ.ศ.2285 และที่วัดแห่งนี้ยังมีโบสถ์มหาอุตม์ ภายในสามารถเข้าไปกราบนมัสการไหว้พระขอพรพระพุทธรูปเก่าแก่ที่งดงามด้วยพุทธศิลป์ที่งดงามและดูสงบ


นอกจากนี้ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งวัดกลางในอดีตเคยเป็นท่าจอดเรือ เพื่อเดินเท้าไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ ปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว เนื่องจากลำน้ำเปลี่ยนทางเดิน

จากนั้นคณะเดินทางไปยัง “ร้านลานโพธิ์” เพื่อรับประทานอาหารเย็น ก่อนเดินทางกลับที่พัก ณ โรงแรมสีหราช

(กิจกรรมวันที่ 2) เนื่องจากสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก ช.ส.ท. จึงแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่มในการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่กำหนดเพื่อความสะดวกในการดูแล และความคล่องตัวในการเดินทางอีกด้วย


จุดหมายแรกเช้านี้คือ “สถานีรถไฟชุมทางบ้านดารา” สถานีรถไฟชุมทางแห่งแรกในภาคเหนือเปิดเดินรถไฟ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ร.ศ. 127 หรือ พ.ศ. 2451 มีทางรถไฟเชื่อมไปยังอำเภอสวรรคโลกผ่านสถานีรถไฟคลองมะพลับ และสิ้นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย



ที่มาของชื่อของสถานีรถไฟเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสทางรถไฟมาถึงสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นจุดพักรถเพื่อเติมน้ำรถจักรไอน้ำ เมื่อพระองค์ทราบว่าสถานีรถไฟแห่งนี้ยังไม่มีชื่อ จึงพระราชทานชื่อว่า “บ้านดารา” มาจากพระนามของเจ้าดารารัศมี พระราชชายา เจ้าหญิงในราชวงศ์ทิพย์จักรแห่งนครเชียงใหม่ และเพื่อเป็นหมุดหมายว่ากำลังจะเข้าเขตแดนล้านนา คือเขตแดนบ้านของนางดารา ปัจจุบันชื่อดาราจึงกลายเป็นชื่อของชุมชน หมู่บ้าน และชื่อตำบลหนึ่งของอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์

จากนั้นเดินทางต่อไปยัง “สะพานปรมินทร์” สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ บ้านดารา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ สะพานประวัติศาสตร์มีความสวยงามอายุกว่าร้อยปี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากอังกฤษ อเมริกา ยกทัพเข้าเอเชียเข้ารบกับญี่ปุ่น เพื่อเป็นการตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธของญี่ปุ่น จึงบุกโจมตีสะพานต่างๆ สะพานปรมินทร์จึงเป็นเป้าในการโจมตีครั้งนี้ด้วย


ส่วนตัวสะพานชั่วคราวชาวบ้านเรียกว่าสะพานเบี่ยงได้รื้อออกไปแล้วเพื่อซ่อมแซมสร้างสะพานปรมินทร์ให้แล้วเสร็จ เสร็จในปี พ.ศ.2496 สมัยรัชกาลที่ 5 ก่อสร้างโดยช่างชาวเยอรมัน มีความสวยงามแข็งแรง และนับเป็นสะพานเหล็กของการรถไฟที่มีความยาวมากที่สุดในภาคเหนือ มีการเปิดสะพานใช้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทานนามสะพานแห่งนี้ว่า สะพานปรมินทร์



หลังจากนั้นคณะเดินทางมาล่องเรือชมสวนฝรั่งกิมจู “สวนดีพิชัยฝรั่งกิมจู” อำเภอพิชัย 16/3 หมู่11 บ้านไทรเอน ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ “คุณสายฝน เกิดแก้ว” เจ้าของสวนและชุมชน บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ มีการจัดการที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพึ่งพาตัวเอง โดยทำสวนแบบขุดร่อง ตามแบบสวนภาคกลางและปลูกกล้วยไข่เป็นไม้ให้ร่มเงาแก่ฝรั่งในสวน




ทำให้ฝรั่งได้รับน้ำเพียงพอสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ทำให้สด สะอาด ปลอดภัยมีรสชาติหวานกรอบ หอมอร่อย เนื้อฉ่ำน้ำ ผิวเรียบสวย ได้รับมาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร เลี้ยงปลาในร่องสวนเพื่อให้ปลากินพืช และอื่นๆ เช่น หอยขม เพื่อทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์

คณะเดินทางกลับมารับประทานอาหารกลางวัน ณ บ้านดารา จ.อุตรดิตถ์ พร้อมกับอาหารที่จัดมาเป็นเซ็ท 4 ชุด เมนู ก๋วยเตี๋ยวหมูแดงคลุก, ขนมจีนแกงเขียวหวาน, ผัดไทย, ข้าวเหนียวไก่ทอด และขนมหวานอีกหนึ่งคือ บวชเผือก มาแบบจุดเต็มทั้งอิ่มทั้งอร่อย



ช่วงบ่ายเดินทางไปสักการะท่านพ่อพิชัยดาบหัก ณ วัดเอกา ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่แห่งนี้คือตำนานพื้นที่สมรภูมิรบสมัยพระยาพิชัยดาบหัก รับรู้ที่มาของ “ไก่เขียวพาลี” แห่งอุตรดิตถ์ ไก่ชน นักรบของพระยาพิชัยดาบหัก ลงสนามคราวใดจะตีชนะคู่ต่อสู้ทุกครั้ง พร้อมร่วมกันทำกิจกรรมเพ้นท์สีไก่เขียวพาลี ถวายแด่ท่านพ่อพิชัยดาบหัก




จากนั้นเดินทางไปรับประทานของว่าง ณ ร้านม่อนลับแล ชิมข้าวพันผัก เมืองลับแล อุตรดิตถ์ เมนูบ้านๆ แต่กลับกลายเป็นตำนานความอร่อยขึ้นชื่อของจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมทั้งอร่อยกับลอดช่องเค็มและข้าวเหนียวทุเรียนสุดอร่อยก่อนเดินทางไปชม “ซุ้มประตูกาลเวลาเมืองลับแล”

ซุ้มประตูกาลเวลาเมืองลับแล “เมืองที่ห้ามพูดโกหก” ตามตำนานนิทานพื้นบ้านเล่ากันว่าเป็นเมืองของคนดีมีความซื่อสัตย์สุจริต ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์เมืองลับแลให้ชมด้วย


“ซุ้มประตูเมืองแล” สถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ด้านข้างมีอนุสาวรีย์แม่หม้ายเมืองลับแลในเป็นรูปปั้นหญิงสาวอุ้มลูกน้อยข้างๆ มีสามีนั่งคอตก ในมือถือย่ามใส่ขมิ้น บริเวณฐานจารึกข้อความ “ขอเพียงสัจจะวาจา” สัญลักษณ์สำคัญของเมืองลับแล เมืองที่มักถูกเรียกกันติดปากว่า ลับแล-แม่หม้าย จากนั้นคณะเดินทางกลับที่พัก

ค่ำคืนของกิจกรรมวันนี้ คณะเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะ ช.ส.ท. โดยได้รับเกียรติ์จาก นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ ช.ส.ท. ในโอกาสจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเยือนจังหวัดอุตรดิตถ์ “สุขทันที..ที่เที่ยวอุตรดิตถ์” ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสีหราช จ.อุตรดิตถ์



โดย นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย นายกรรชกร ประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์, นายวชิรพันธ์ เตชะเอราวัณ ประธานสภาอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว และ นางสาวภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานแพร่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดอุตรดิตถ์ และเผยทิศทางการกระตุ้นท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Monent เมืองลับแล สุขทันที ที่เที่ยวอุตรดิตถ์


ทั้งนี้ บรรยากาศงานเลี้ยงต้อนรับเต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกคัก ภายในงานมีการจับรางวัลมอบของที่ระลึกจากแบรนด์ของผู้สนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวของ (ช.ส.ท.) หลายรายการ มอบเป็นของรางวัลให้แก่สมาชิกนักท่องเที่ยววัยเก๋าและทีมงานอย่างคับคั่ง..


(กิจกรรมวันที่ 3)
กราบสักการะอนุเสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ทหารเอกพระเจ้าตากสินมหาราชขุนนางในสมัยอยุธยาตอนปลาย และธนบุรีทหารเอกคู่พระไทยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นผู้มีส่วนกอบกู้เอกราชของชาติไทย หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากความกตัญญูกตเวที และความกล้าหาญ 1 ใน 4 ทหารเสือของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถือคติที่ว่า “ข้าสองเจ้า บ่าวสองนายมิดี”



กราบสักการะพระบรมธาตุ ณ “วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง” ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นวัดสำคัญประจำเมืองทุ่งยั้ง เจดีย์พระบรมธาตุเป็นเจดีย์เก่าแก่แบบลังกาทรงกลมฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม 3 ชั้น เชื่อกันว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เรียกว่า อุรังคธาตุ(อัฐิส่วนอก) ในวิหารจะประดิษฐานหลวงพ่อหลักเมืองเป็นองค์พระประธาน ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกว่าหลวงพ่อประธานเฒ่า


ด้านนอกที่อยู่ด้านข้างของพระวิหารหลวงจะเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางปรินิพพาน ตั้งอยู่ด้านหน้าของพระวิหารหลวง เป็นปกติเวลาสร้างพระพุทธรูปปางนี้ มักจะสร้างเฉพาะองค์พระพุทธรูป สำหรับที่วัดพระบรมธาตุ(ทุ่งยั้ง) สร้างเหล่าสาวกที่มาชุมนุมกันในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานด้วย


“วัดพระแท่นศิลาอาสน์” เดิมชื่อ “วัดมหาธาตุ” ตั้งอยู่บนเนินเขาเต่า บ้านพระแท่น ตำบลทุ่งยั้ง เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด ทางราชการได้นำพระแท่นศิลาอาสน์ไปประดิษฐานไว้ในตราประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงถึงความศรัทธาเลื่อมใสและความสำคัญขององค์พระแท่นศิลาอาสน์ได้เป็นอย่างดี พระแท่นศิลาอาสน์เป็นพุทธเจดีย์เช่นเดียวกับพระแท่นดงรัง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นที่เชื่อกันมาแต่โบราณว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้เสด็จมาประทับ นั่งบนพระแท่นแห่งนี้เพื่อเจริญภาวนา และได้ประทับยับยั้งในเวลาที่ตรัสรู้แล้วเพื่อโปรดสัตว์ ซึ่งแสดงว่าพระแท่นศิลาอาสน์นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างต่อเนื่องในพระพุทธศาสนามายาวนาน และมีความสำคัญยิ่ง



คณะเดินทางไปชมความอะเมซิ่งของ“สะพานรวงผึ้ง” สะพานกลับหัว บ้านปางต้นผึ้ง อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ เป็นสะพานโค้งกลับหัวแห่งเดียวในประเทศไทย เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีทิ้งระเบิดเส้นทางสายเหนือ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตโครงสร้างด้านบนจึงปรับโครงสร้างไว้ด้านล่าง จะเหมือนเป็นเพียงทางรถไฟทั่วไปปัจจุบันยังใช้ได้อยู่

จากนั้นเดินทางมารับประทานอาหารที่ “ร้านอาหารบ้านตักเงิน” เป็นร้านอาหารชื่อดังในจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองบนถนนสายหลักที่เดินทางสะดวกสบาย ร้านเปิดให้บริการมาอย่างยาวนานกว่า 28 ปี ด้วยคุณภาพอาหาร เมนูวันนี้มีแกงเขียวหวานทุเรียนด้วย

คณะเดินทางมายัง “วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ” อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ วัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของ “เจ้าพระฝาง” เมืองสวางคบุรี ผู้นำชุมนุมเจ้าพระฝางในคราวเสียสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 อีกด้วย


วัดพระฝางนับว่าเป็นกลุ่มโบราณสถานของศูนย์กลางเมืองฝางสวางคบุรี เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ วัดนี้เป็นวัดพระมหาธาตุประจำเมืองสวางคบุรี ซึ่งในอดีต วัดพระฝางนั้น ยังเคยเป็นวัดที่จำพรรษาของ “เจ้าพระฝาง” เมืองสวางคบุรี ผู้นำชุมนุมเจ้าพระฝางในคราวเสียสมัยกรุง


ภายในวัดมีโบราณสถานที่น่าสนใจคือ พระธาตุเจดีย์ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์สำคัญของอณาจักรมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

นอกจากนี้ วัดพระฝางยังมีอุโบสถมหาอุด อยู่ด้านทิศตะวันตกของกลุ่มโบราณสถาน ตัวอุโบสถมีสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเดิมภายในอุโบสถเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระฝาง ซึ่งปัจจุบันตัวอุโบสถยังคงมีบานประตูไม้และหน้าบันแกะสลักศิลปะสมัยอยุธยาอันสวยงามอยู่ (บานปัจจุบันเป็นบานจำลอง)


จากนั้นเดินทางไปยัง “เขื่อนสิริกิติ์” ซึ่งเป็นที่พักของคณะในค่ำคืนนี้ สัมผัสบรรยากาศสุดฟินยามอาทิตย์อัสดงเหนือบริเวณ เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ชมเขื่อนดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และวิวทิวทัศน์ที่งดงามสุดลูกหูลูกตา

“เขื่อนสิริกิติ์” เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ ก่อสร้างขึ้นตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน เดิมชื่อ “เขื่อนผาซ่อม” ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวงนามว่า “เขื่อนสิริกิติ์” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2511

ซึ่งก่อสร้างเพื่อปิดกั้นแม่น้ำน่าน ณ บริเวณเขาผาช่อตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ลักษณะของเขื่อนเป็นเขื่อนดินแกนกลางเป็นดินเหนียว ความจุของอ่างเก็บน้ำสามารถเก็บกักน้ำได้มากเป็นที่สามรองจากเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนภูมิพล


ค่ำวันนี้จังหวัดอุตรดิตถ์คึกคักงานเลี้ยงต้อนรับคณะ ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคเหนือ โดยมี ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ททท. และ สมาชิกชมรม ช.ส ท. รวมทั้งภาคีเครือข่าย หน่วยงานภาครัฐ เอกชนจังหวัดอุตรดิตถ์ร่วมงานที่ห้องจัดเลี้ยง เขื่อนสิริกิติ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายในงาน ช.ส.ท. จัดเซอร์ไพส์ร่วมร้องเพลง “ดอกไม้ให้คุณ” และมอบดอกไม้ให้กับ นายสมชาย ชมพูน้อย เนื่องในวาระที่จะเกษียณในเดือนกันยายนนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความประทับใจ



นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้เกียรติมาเป็นประธานพิธีเปิดงานเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับคณะฯ และกล่าวต้อนรับ พร้อมเผยทิศทางภาพรวมการท่องเที่ยวภาคเหนือ และจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมด้วย นางสาวภัททิรา คำอภิวงศ์ รองผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานแพร่ ศูนย์ประสานงานจังหวัดอุตรดิตถ์ แนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ “ภูสอยดาว” สำหรับผู้สนใจการท่องเที่ยวเดินป่าชมธรรมชาติ ชม “ดอกหงอนนาค” ที่สวยงามของผืนป่าบนยอดภูสอยดาว รวมทั้งเผยทิศทางการกระตุ้นท่องเที่ยวเส้นทาง Grand Moment เมืองลับแล สุขทันที ที่เที่ยวอุตรดิตถ์ อีกด้วย


(กิจกรรมวันที่ 4)
เช้านี้คณะเดินทางไปยัง “อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่” ตั้งอยู่บ้านปางเกลือ ตำบลน้ำไคร้ อำเภอปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ชมต้น “มเหสักข์ “ เป็นชื่อที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามให้ ซึ่งมีความหมายว่า ”เทวดาผู้ใหญ่” เป็นต้นสักใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 1500 ปี

เดินทางไปชมความงดงามของ “วัดพลอยสังวรนิรันดร์” วัดที่มีศิลปะวัตถุสวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามของอำเภอทองแสนขัน ตั้งอยู่บ้านนาลับแลง ตำบลป่าค้าย อำเภอทองแสนขัน เป็นวัดสาขาหนึ่งของวัดนาหลวง (อภิญญาเทสิตธรรม อำเภอบ้านผือจังหวัดอุดรธานี)


ภายในวัดประดิษฐาน “องค์พระสาระสุทธีมุนีนาถ” พระพุทธรูปปางนาคปรกองค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 10 เมตร สูง 19 เมตร ล้อมรอบด้วยพญานาคราช ได้แก่ ปู่ทะนะมูลนาคราช และแม่ย่าเกตุปทุมนคินี หลวงปู่มุจริทร์ ซึ่งถือเป็นพญานาคราชคุ้มครองพระพุทธเจ้า และพระยาดำแสนสิริจันทรนาคราช บริเวณประตูทางเข้ามีรูปปั้นพญานาคมังกรคู่หันหน้าเข้าหากัน เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลและความศักดิ์สิทธิ์แก่พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปสักการะขอพร

และก่อนเดินทางกลับคณะแวะมารับประทานอาหารที่ “ร้านลมเย็น” กม.ที่ 100 ถนนทางหลวง หมายเลข 11 พิษณุโลก – เด่นชัย เลขที่่ 173 หมู่ 5 ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์

“ร้านลมเย็น” บริการอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย รวมทั้งของฝากของดีของอุตรดิตถ์ที่น่าสนใจอย่างครบวงจรอีกด้วย เรียกว่ามานี่มีครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ อาหาร ของฝาก ของที่ระลึก สามารถซืัอกลับไปเป็นของขวัญของฝากให้กับคนที่เรารักได้อย่างพึงพอใจ จากนั้นคณะเดินทางต่อไปยัง สถานีรถไฟชุมทางศิลาอาสน์ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ..

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทาง
ททท.ภูมิภาคภาคเหนือ
ททท.สำนักงานแพร่
ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวจังหวัดอุตรดิตถ์
ขอขอบพระคุณ คณะผู้ร่วมเดินทาง
ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.)
………………………………………….
www.indyreport.com
