🔴 ช.ส.ท. นำคณะสานสัมพันธ์ไทย-ลาว เชื่อมโยงสองแผ่นดินเดินทางสู่ดินแดนมรดกโลก กระตุ้นท่องเที่ยวหลังโควิด

ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – วันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ (ช.ส.ท.) นำโดย นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว  คณะกรรมการ สื่อมวลชน และสมาชิกนักท่องเที่ยว รวม 40 ท่าน ร่วมเดินทางทัศนศึกษาสาธารณรัฐประชาชนลาว (สปป.ลาว) เยือนเมืองมรดกโลก ณ นครเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และวังเวียง โดยการเดินทางครั้งนี้ “บริษัทนฤมลทัวร์” เป็นผู้ดูแลคณะฯ ตลอดการเดินทาง ได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทางเป็นอย่างดี

นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว

ลาวและไทยมีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักรล้านช้างและอาณาจักรอยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มาก่อน คือ ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน มีความคล้ายคลึงกันทั้งทางด้านทางภาษาและวัฒนธรรม ดังนั้นการเดินทางมาประเทศลาว หรือ สปป.ลาว จึงเป็นการเดินทางที่เปรียบเสมือนการไปเยือนบ้านพี่เมืองน้องที่ใกล้ชิด เชื่อมโยงกันด้วยสายสัมพันธ์อันอบอุ่น และประทับใจ คณะเดินทางในครั้งนี้เดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมือง – ท่าอากาศยานอุดรธานี – นครหลวงเวียงจันทน์ – หลวงพระบาง ใช้ระยะเวลาเดินทาง 4 วัน 3 คืน

 

วันที่ 1 : นครหลวงเวียงจันทน์, วัดสีเมือง, หอพระแก้ว, สถานีรถไฟเส้นทางลาว-จีน, หลวงพระบาง

เดินทางถึงท่าอากาศยานอุดรธานี หลังจากนั้นรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมเจริญโฮเต็ล จ.อุดรธานี คณะออกเดินทางไปยังด่านพรมแดนไทยจังหวัดหนองคาย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นเดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปยัง สปป.ลาว ที่ด่านมิตรภาพลาว ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และออกเดินทางสู่ “นครหลวงเวียงจันทน์”

จุดหมายแรกนำคณะเข้าชม “วัดสีเมือง” วัดที่ชาวลาวเคารพนับถือและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเวียงจันทน์ สร้างในสมัยเดียวกันกับการสร้างเมืองเวียงจันทน์

และเดินทางต่อไปยัง “หอพระแก้ว” ซึ่งเคยเป็นวัดในเวียงจันทน์ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2108 เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) แต่สร้างใหม่หลายครั้ง ปัจจุบันข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะทางศาสนาและร้านค้าขนาดเล็ก

จากนั้นจึงนำคณะรับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตรคารแม่ของ ก่อนออกเดินทางสู่ “สถานีรถไฟเส้นทางลาว-จีน” เวลา 13.00 น. ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เพื่อเดินทางสู่ “แขวงหลวงพระบาง” เมืองมรดกโลก เวลา 15.05 โดยรถไฟ ขบวน C84

รถไฟเส้นทางลาว-จีน เป็นเส้นทางรถไฟที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศลาว เปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ 2564 ที่ผ่านมานี้เอง เป็นการเชื่อมเส้นทางระหว่างกรุงเวียงจันทน์กับนครคุนหมิงประเทศจีน ในช่วงแรกใช้เพื่อการส่งสินค้าเป็นหลัก พอสถานการณ์โควิด 19 เริ่มดีขึ้นจึงเปิดให้มีการเดินทางข้ามประเทศได้ และเกิดเป็นกระแสท่องเที่ยวตามมา ทำให้หลายคนอยากไปขึ้นรถไฟขบวนนี้กัน

เส้นทางรถไฟลาว-จีน จะมีทั้งหมด 32 สถานีปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 6 สถานี เฉพาะในฝั่งลาว คือ เวียงจันทน์ โพนโฮง วังเวียง หลวงพระบาง เมืองไซ และ บ่อเต็น ทั้งเส้นทางใช้เวลาเดินทาง 4.20 ชม. ความเร็ว 155 กม./ชม. ถ้าเทียบกับการเดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้เวลา 13 ชม. ห้องขายตั๋วรถไฟเปิดให้บริการ 3 ช่วงคือ ‪7.00 – 10.00‬ น. ‪14.00 – 16.30‬ น. และ ‪20.00 – 20.40‬ น. ประตูจะเปิดให้เข้าไปในสถานีตามเวลาที่ระบุเท่านั้น ซึ่งที่นั่งบนรถไฟจะแบ่งเป็น 3 ชั้นคือชั้น 2 ชั้น 1 และชั้นธุรกิจส่วนตัว จะมีขายที่สถานีรถไฟถ้าจะไปซื้อต้องไปก่อนเวลาก่อนเดินทาง และต้องเตรียมพาสปอร์ตและเงินสดที่เป็นเงินกีบสำหรับจ่ายค่าตั๋วด้วย ด้านในจะมีการตรวจเหมือนการขึ้นเครื่องบินทุกขั้นตอน

เดินทางถึง “หลวงพระบาง” เมืองมรดกโลก โดยมีรถตู้รอรับนำคณะเดินทางสู่ตัวเมืองและเข้าที่พัก ณ โรงแรมชนะแก้ว หลวงพระบาง รับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารขะมุ จากนั้นนำคณะเที่ยวชม ตลาดกลางคืน หรือมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ถนนข้าวเหนียว ถนนคนเดินมีความยาวถึง 1 กม. เปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 5 ทุ่ม ของทุกวัน ภายในตลาดจะมีสินค้าจำพวก เสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องประดับ และมีโซนอาหาร ลานและเวทีทำกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย

วันที่ 2 : น้ำตกตาดกวางสี, ร้านอาหารตากแก้วมงคล, ถ้ำติ่ง, ตลาดกลางคืนหลวงพระบาง

ออกเดินทางไปยัง “น้ำตกตาดกวางสี” เป็นน้ำตกหินปูนขนาด 4 ชั้นความสูงโดยรวมอยู่ที่ 75 เมตรตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบางประมาณ 35 กิโลเมตรมีสายน้ำที่ไหลลดหลั่นลงมาตามผาหินปูนรวมกันจนกลายเป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตด้านล่างทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามจนถูกขนานนามว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง

นอกจากนี้ก่อนทางเข้าไปยังน้ำตกมี “ศูนย์อนุรักษ์หมี” สถานที่ซึ่งรวบรวมหมีที่ถูกช่วยจากการค้าสัตว์ป่าและการโดนล่าแต่ละตัวก็ต่างเคยได้รับบาดเจ็บจากการโดนทำร้ายมามากมาย ซึ่งทางศูนย์ก็ดูแลรักษาเป็นอย่างดีและให้อยู่ในเขตพื้นที่ที่ปลอดภัย สามารถไปชมและถ่ายภาพได้

หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ณ “ร้านอาหารตาดแก้วมงคล” ซึ่งอยู่ติดกับน้ำตก สวยงาม อาหารอร่อย บรรยากาศดี ซึ่งที่นี่มีทัศนียภาพที่สวยงามเหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง

ช่วงบ่ายนำคณะล่องเรือเที่ยวชม “ถ้ำติ่ง” ถ้ำสิ่งมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำมีหินงอกหินย้อยสวยงาม พอเข้าไปถึงบรรยากาศข้างในถ้ำเย็นมากและมีส่วนที่ลึกเข้าไปจะปิดไม่ให้เข้า ที่นี่พระพุทธรูปที่นี่มีหลายขนาด ในสมัยก่อนเป็นที่บวงสรวงดวงวิญญาณ ผีฟ้า ผีแถน เทวดาผาติ่งที่นี่ ตามความเชื่อในสมัยนั้น เพราะชาวลาวนั้นมีการนับถือผีเทวดาผีฟ้าซึ่งเชื่อว่าหินงอกหินย้อยในถ้ำก็คือสิ่งที่สิงสถิตของดวงวิญญาณผีฟ้าผีในน้ำและในถ้ำ

ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาได้เผยแผีเข้ามาที่นี่ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้ามาหาชีวิตแห่งหลวงพระบางต้องเดินทางมาสักการะบูชาพระพุทธรูปในถ้ำรวมไปถึงการส่งน้ำพระในพิธีสำคัญๆ อีกด้วย

คณะกลับจากถ้ำติ่งเดินเที่ยวชม “ตลาดกลางคืนหลวงพระบาง” ชมสินค้าที่วางเรียงรายหลากหลายบ้างก็คล้ายๆ กัน ดื่มด่ำบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนหลวงพระบาง นอกจากนี้ยังมีวัดสวย “วัดใหม่สุวรรณภูมาราม” บนถนนศรีสว่างวงศ์ ติดกับตลาดแห่งนี้ด้วย

จากนั้นรับประทานอาหารเย็น ณ “ร้านอาหารวุททิวง” ทางร้านได้ต้อนรับคณะด้วยอาหารพื้นถิ่นและมี “พิธีบายศรีสู่ขวัญ” ต้อนรับคณะรวมทั้งการแสดงฟ้อนรำต่างๆ ของชาวลาวให้ชมอีกด้วย

วันที่ 3 : ตักบาตรเช้า ณ วัดแสนสุขาราม, เดินชมตลาดเช้า, ร้านกาแฟประชานิยม, วัดวิชุนราชหรือวัดพระธาตุหมากโม, พระราชวังหลวงพระบาง, หอพระบาง, วัดเชียงทอง, วังเวียง

คณะตื่นเช้าร่วมตักบาตรเช้า ณ “วัดแสนสุขาราม” ตักบาตรเช้าด้วยการใส่บาตรข้าวเหนียวตามประเพณีของชาวลาว จากนั้นนำคณะเดินชม “ตลาดเช้า” ชมวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมทางด้านอาหารและความวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวหลวงพระบางได้เป็นอย่างดี

 

หลังจากนั้นแวะชิมกาแฟที่ “ร้านประชานิยม” ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่อยู่คู่เมืองหลวงพระบางมาช้านานบริหารงานจากรุ่นสู่รุ่น

ออกเดินทางไปยัง “วัดวิชุนราช” หรือ “วัดพระธาตุหมากโม” สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช ลักษณะเด่นคือ พระธาตุมีรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโมผ่าครึ่ง ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่าพระธาตุหมากโมนั่นเอง

เดินทางต่อไปยัง “พระราชวังหลวงพระบาง” เป็นวังที่เจ้ามาหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ทรงประทับอยู่ที่นี่จนสิ้นพระชนม์เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ 2518 พระราชวังก็ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ และในบริเวณใกล้เคียงกันติดกับทางเข้าทางด้านซ้ายมือ คณะร่วมกันนมัสการ “หอพระบาง” ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง เป็นพระพุทธรูปประทับยืน ปางห้ามสมุทร

จากนั้นนำคณะออกเดินทางไปยัง “วัดเชียงทอง” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ ‪2101-2103‬ ในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้เคยปกครองทั้งล้านนาและล้านช้าง โดยวัดแห่งนี้สร้างขึ้นก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เวียงจันทน์ วัดแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นวัดประตูเมืองและเป็นท่าเทียบเรือทางเหนือของตัวเมือง เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำโขงนั่นเอง

หลังจากนั้น รับประทานอาหารกลางวัน ณ “ร้านอาหารปากห้วยมีชัย” และออกเดินทางไปยังสถานีรถไฟเส้นทางลาว-จีน แขวงหลวงพระบาง ออกเดินทางสู่วังเวียงโดยรถไฟ ขบวนที่ C81 เวลา 13.53 น. ถึงวังเวียง 14.49 น.

คณะออกเดินทางเข้าตัวเมืองวังเวียงและเดินทางไปเช็คอินเข้าที่พัก “โรงแรมทวีสุขไอซ์แลนด์” และนำคณะเที่ยวชมบลูลากูน 1 อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของวังเวียง ซึ่งวังเวียงมีบลูลากูนอยู่ถึง 3 แห่งด้วยกัน แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั่นคือบลูลากุล 1 ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาโดดน้ำกัน น้ำใสไหลเย็นสีฟ้าน่าเล่นน้ำมาก จากนั้นถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าสัญลักษ์ “ถ้ำปูคำ” รับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารทวีสุข และเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก

วันที่ 4 : ถ้ำนางฟ้า, นครหลวงเวียงจันทน์, อนุสาวรีย์ประตูชัย, ร้านเครื่องเงิน, พระธาตุหลวง, หนองคาย

นำคณะเที่ยวชม “ถ้ำนางฟ้า” (ANGEL CAVE) ถ้ำแห่งนี้ถือเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สว่างไสวด้วยสปอตไลต์เจลซึ่งเต็มไปด้วยหินปูนขนาดใหญ่และมีหินย้อยสวยงามตระการตาที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นในพระพุทธเจ้า ห้องครัว หรือสัตว์ และอื่นๆ ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองวังเวียงเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ภายในถ้ำมีบรรยากาศเย็นสบาย จากนั้นนำคณะรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารนางบด ก่อนออกเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทน์ โดยผ่านทางด่านลาว-จีน

เดินทางถึงเมือง “นครหลวงเวียงจันทน์” ชม “อนุสาวรีย์ประตูชัย” หรือคนลาวจะเรียกว่า “ประตูไซ” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างลาวกับฝรั่งเศส อันเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของนครหลวงเวียงจันทน์ เป็นอนุสรณ์สถานตั้งอยู่ท้ายสุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของถนนล้านช้าง อยู่ใจกลางนครเวียงจันทน์ สร้างขขึ้นในปี พ.ศ. 2500 ถึงปี พ.ศ. 2511 เพื่อเป็นการสดุดีวีรชนผู้ร่วมรบเพื่อประกาศเอกราชจากประเทศฝรั่งเศส ต่อด้วยการนำคณะเที่ยวชมและช้อปสินค้า ร้านเครื่องเงินและผ้าไหม อันเป็นสินค้าขึ้นชื่อของ สปป.ลาว

ท้ายสุดก่อนกลับประเทศไทยคณะเดินทางไปกราบนมัสการ “พระธาตุหลวง” หรือ “พระเจดีย์โลกะจุฬามณี” เป็นปูชนียสถานที่สำคัญยิ่งในนครหลวงเวียงจันทน์สร้างในสมัยเดียวกับการสร้างเมืองเวียงจันทน์ โดยพระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ และพระอรหันต์ 5 พระองค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหัวเหน่าของพระพุทธเจ้าไว้ในองค์พระธาตุ เดิมเป็นพระธาตุองค์เล็กๆ ต่อมาในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ได้นำพาประชาชนสร้างพระธาตุองค์ใหญ่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้จนถึงปัจจุบันนี้

เดินทางต่อไปยังด่านมิตรภาพลาวคณะทำพิธีการต่างๆ เสร็จจากนั้นเดินทางสู่ด่านพรมแดนไทยหลังจากนั้นผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เดินทางถึงหนองคายและคณะออกเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานอุดรธานี เดินทางกลับกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพด้วยสายการบินนกแอร์

นางวรางคณา เผยว่า “เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา เคยเดินทางไปหลวงพระบางโดยทางรถยนต์ ใช้ก็เวลายาวนานกว่าสิบห้าชั่วโมง แต่วันนี้ลาวมีรถไฟความเร็วสูง ใช้เวลาเดินทางเพียงสองชั่วโมงก็ถึงหลวงพระบาง และจากวังเวียงถึงนครเวียงจันทน์ยังมีถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ตัดผ่านภูเขาหลายช่วง ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเวียงจันทน์

เมื่อโควิด 19 หมดไปการท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม เราพบนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเซียมากมายเกือบจะเหมือนกับช่วงก่อนโควิด 19 โรงแรมสะอาด อาหารอร่อย และสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการประกาศว่าเป็นหนึ่งในมรดกโลก เป็นแต้มต่อที่ทำให้การท่องเที่ยวในลาวคืนชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการการท่องเที่ยวของลาวยังอยู่ในกฎเกณฑ์ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ได้สร้างปัญหาให้น้กท่องเที่ยวถ้าทุกคนปฏิบัติตามกฏกติกานั้น และเช่นเดียวกันการเลือกบริษัททัวร์ที่จะดูแลการเดินทางให้เราก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเดินทางไปต่างแดน”

นางวรางคณา ยังกล่าวต่ออีกว่า “สามคืนสี่วันในประเทศลาว คณะของเราจึงเต็มอิ่มกับการเก็บเกี่ยวความสุขในการเดินทางเต็มที่ อิ่มบุญกับการตักบาตรข้าวเหนียวยามเช้าที่หลวงพระบางอันเป็นความใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยว ได้ล่องเรือไปถ้ำติ่งกลางแม่น้ำ ได้เห็นน้ำสีเขียวใสในบลูลากูนที่วังเวียง ได้กราบนมัสการพระบาง ได้เห็นประตูชัยที่้นครเวียงจันทน์ และได้เห็นทุกสิ่งตามเส้นทางเวียงจันทน์ หลวงพระบาง วังเวียง และได้ชื่นชมกับเมืองอุดรของเราทั้งไปและกลับ”

……………………………………………………………………………………………………………
📍www.indyreport.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *